Newsletter subscribe

Climate Change, Science

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change)#1 ปรากฏการณ์เรือนกระจก

Posted: 03/12/2020 at 21:37   /   by   /   comments (0)

ดวงอาทิตย์ให้พลังงานความร้อนแก่โลก โดยแผ่พลังงานออกมาในรูปของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ความยาวคลื่นสั้นมากและมีระดับพลังงานสูง โดยส่วนใหญ่มีความถี่ย่านแสงที่มองเห็นได้ (visible light) หรือใกล้เคียง เช่น รังสีอัลตราไวโอเลต (UV) พลังงานแสงอาทิตย์ที่มาถึงชั้นบรรยากาศโลกประมาณ 1 ใน 3 จะสะท้อนกลับสู่อวกาศทันทีโดยเมฆ น้ำแข็ง หิมะ ทราย และพื้นผิวสะท้อนแสงอื่นๆ พลังงานส่วนที่เหลืออีก 2 ใน 3 ถูกดูดซับโดยมหาสมุทร ผืนดิน และชั้นบรรยากาศ เพื่อปรับสมดุลของพลังงานที่รับเข้ามา โลกจะต้องแผ่พลังงานจำนวนเท่าเดิมกลับสู่อวกาศ เนื่องจากโลกเย็นกว่าดวงอาทิตย์มาก จึงแผ่รังสีที่ความยาวคลื่นยาวกว่ามากและมีระดับพลังงานที่อ่อนกว่าโดยส่วนใหญ่อยู่ในช่วงรังสีอินฟราเรด (IR) ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ ซึ่งรังสีอินฟราเรดจะถูกดูดซับโดยก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น บรรยากาศที่ร้อนขึ้นจะแผ่รังสีอินฟราเรดกลับสู่พื้นผิวโลก

มันเป็นความสมดุลของรังสีขาเข้าและรังสีขาออกที่ทำให้โลกมีอุณหภูมิค่อนข้างต่ำและคงที่ซึ่งสิ่งมีชีวิตสามารถอยู่อาศัยได้  โดยโลกมีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 59oF (15 oC) จากข้อมูลของ NASA หากไม่มีความสมดุลของชั้นบรรยากาศ โลกก็จะเย็นและไม่มีชีวิตชีวาเหมือนดวงจันทร์หรือร้อนแรงเหมือนดาวศุกร์ ดวงจันทร์ซึ่งแทบไม่มีชั้นบรรยากาศมีอุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 243 oF (-153 oC) ในทางกลับกันดาวศุกร์มีบรรยากาศที่หนาแน่นมากซึ่งดักจับรังสีดวงอาทิตย์ไว้ อุณหภูมิเฉลี่ยบนดาวศุกร์อยู่ที่ประมาณ 864 oF (462 oC)

อย่างไรก็ตามนักวิทยาศาสตร์ด้านภูมิอากาศส่วนใหญ่ยอมรับว่ามนุษย์ได้เปลี่ยนแปลงบรรยากาศของโลกอย่างมากในช่วงสองศตวรรษที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดภาวะโลกร้อน (Global Warming) 

 

 

Sean Paul – No Lie ft. Dua Lipa (YouTube)

 

 

มีการอภิปรายมากมายเกี่ยวกับปรากฏการณ์เรือนกระจก (Greenhouse Effect) ในขณะที่บางคนเชื่อว่าปรากฏการณ์เรือนกระจกมีความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน แต่บางคนเชื่อว่ามันมีส่วนทำให้ชีวิตเราตกอยู่ในอันตราย แต่ปรากฏการณ์เรือนกระจกนี้คืออะไรและทำไมเราถึงต้องดูแล? ก่อนที่เราจะตัดสินใจว่าผลกระทบของปรากฏการณ์เรือนกระจกเป็นประโยชน์หรือเป็นอันตราย สิ่งสำคัญคือต้องเรียนรู้ว่ามันคืออะไรและเหตุใดปรากฏการณ์เรือนกระจกจึงมีความสำคัญ

 

เราอาศัยอยู่ในเรือนกระจก

 

atmo.arizona.edu

บรรยากาศของโลกประกอบด้วยก๊าซไนโตรเจน 78% ออกซิเจน 21% ไอน้ำ 2% นอกนั้นเป็น ก๊าซอาร์กอน ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซอื่นๆ ปริมาณเล็กน้อย แม้ว่าก๊าซไนโตรเจนและก๊าซออกซิเจนจะเป็นองค์ประกอบหลักของบรรยากาศ แต่ก็มิได้มีอิทธิพลต่ออุณหภูมิของโลก ในทางตรงกันข้าม ไอน้ำ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซมีเทน แม้จะมีอยู่ในบรรยากาศเพียงเล็กน้อย แต่มีความสามารถในการปิดกั้นรังสีความร้อนหรือรังสีอินฟราเรดบางส่วนไม่ให้หนีออกไปสู่อวกาศ ส่งผลให้อุณหภูมิของโลกอบอุ่น เราเรียกก๊าซเหล่านี้ว่า “ก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse gas)” จากนั้นชั้นบรรยากาศจะปล่อยรังสีความร้อนออกไปทุกทิศทาง บางส่วนกลับสู่พื้นผิวทำให้โลกร้อนขึ้น กระบวนการนี้เรียกว่า “ปรากฏการณ์เรือนกระจก (Greenhouse effect)”

ปรากฏการณ์เรือนกระจกของโลกทำให้พื้นผิวของโลกอุ่นขึ้น หากไม่มีปรากฏการณ์เรือนกระจกตามธรรมชาติ อุณหภูมิเฉลี่ยที่พื้นผิวโลกจะต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง อย่างไรก็ตามกิจกรรมของมนุษย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลและการแผ้วถางป่า ได้เพิ่มก๊าซเรือนกระจกเข้าไปในชั้นบรรยากาศ ทำให้ปรากฏการณ์เรือนกระจกตามธรรมชาติทวีความรุนแรงขึ้นอย่างมาก นั่นคือการทำให้สภาพภูมิอากาศของโลกเราร้อนขึ้น จนทำให้เกิดภาวะโลกร้อน (Global Warming)

 

en.wikipedia.org

สาเหตุที่ได้ชื่อปรากฏการณ์เรือนกระจก (Greenhouse effect) เนื่องจากเรือนกระจกทำงานในลักษณะเดียวกัน รังสีอัลตราไวโอเลต (UV) สามารถผ่านผนังกระจกของเรือนกระจกได้อย่างง่ายดายและถูกดูดซับโดยพืชและพื้นผิวแข็งภายใน อย่างไรก็ตามการแผ่รังสีอินฟราเรด (IR) ที่มีพลังงานน้อยกว่ามีปัญหาในการผ่านผนังกระจก จึงติดอยู่ภายในทำให้เรือนกระจกร้อนขึ้น ผลกระทบนี้ทำให้พืชเขตร้อนเจริญเติบโตได้ภายในเรือนกระจกแม้ในช่วงฤดูหนาวที่หนาวเย็น ปรากฏการณ์ที่คล้ายกันนี้เกิดขึ้นในรถที่จอดข้างนอก ในวันที่อากาศหนาวและมีแดด รังสีดวงอาทิตย์ที่เข้ามาจะทำให้ภายในรถอุ่นขึ้น เนื่องจากรังสีความร้อนขาออกจะติดอยู่ภายในรถที่ปิดหน้าต่างอยู่

 

ก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gases)

ก๊าซที่มีอยู่มากที่สุดสองชนิดในชั้นบรรยากาศคือ ไนโตรเจน (์N2 78%) และออกซิเจน (O2 21%) ไม่ทำให้เกิดภาวะเรือนกระจก แต่ปรากฏการณ์เรือนกระจก (Greenhouse effects) เกิดจากก๊าซที่มีโมเลกุลที่ซับซ้อนกว่าและมีในปริมาณน้อยกว่ามากในชั้นบรรยากาศ แม้ว่าก๊าซเรือนกระจกจะมีปริมาณเพียงเล็กน้อย แต่มีผลกระทบอย่างมากต่อสภาพอากาศ 

ก๊าซที่ดักจับความร้อนในชั้นบรรยากาศเรียกว่าก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gases) ก๊าซเรือนกระจกมีหลายชนิดที่สิ่งสำคัญ ได้แก่ ไอน้ำ คาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน และไนตรัสออกไซด์ ก๊าซเหล่านี้เป็นก๊าซโมเลกุลใหญ่ ล้วนสร้างขึ้นจากอะตอมตั้งแต่สามอะตอมขึ้นไป อะตอมจะจับตัวกันอย่างหลวมๆ พอที่จะสั่นสะเทือนเมื่อดูดซับความร้อน ในที่สุดโมเลกุลที่สั่นสะเทือนจะปลดปล่อยรังสีความร้อนออกมา กระบวนการนี้ทำให้เกิดความร้อนใกล้พื้นผิวโลก 

ib.bioninja.com.au

ไอน้ำ (H2O): ก๊าซเรือนกระจกส่วนใหญ่คือไอน้ำ เป็นก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากธรรมชาติที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจกมากที่สุด   การเพิ่มขึ้นของไอน้ำเล็กน้อยในชั้นบรรยากาศมีอิทธิพลต่อปรากฏการณ์เรือนกระจกอย่างมาก ในบริเวณเส้นศูนย์สูตรที่ร้อนชื้นจะมีไอน้ำในอากาศมากจนเกิดภาวะเรือนกระจกมาก

คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2): เป็นตัวการสำคัญที่สุดของปรากฎการณ์เรือนกระจกที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มีปริมาณเล็กน้อยในชั้นบรรยากาศ แต่มีผลกระทบอย่างมากต่อสภาพอากาศ ระดับ CO2 ในบรรยากาศเพิ่มขึ้นมากกว่า 40 เปอร์เซ็นต์นับตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการปฏิวัติอุตสาหกรรมจากประมาณ 280 ส่วนต่อล้าน (ppm) ในปี 1800 เป็น 400 ppm ในปัจจุบัน ครั้งสุดท้ายที่ระดับ CO2 ในชั้นบรรยากาศของโลกสูงถึง 400 ppm คือในยุคไพลโอซีน (Pliocene Epoch) ระหว่าง 3-5 ล้านปีที่แล้ว

ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ส่วนใหญ่ที่เพิ่มขึ้นในชั้นบรรยากาศมาจากกิจกรรมของมนุษย์ จากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล (ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ และน้ำมัน) รถยนต์ รถบรรทุก รถไฟ และเครื่องบิน ล้วนเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล โรงไฟฟ้าหลายแห่งเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลด้วย

อีกวิธีหนึ่งที่ผู้คนปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศคือ การตัดไม้ทำลายป่า เรารู้ดีว่าต้นไม้จะดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพื่อการสังเคราะห์แสง การลดจำนวนต้นไม้ทำให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะยังคงอยู่ในชั้นบรรยากาศ

มีเทน (CH4): ก๊าซมีเทนเป็นก๊าซเรือนกระจกที่ทรงพลังสามารถดูดซับความร้อนได้มากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ พบก๊าซมีเทนในปริมาณที่น้อยมากในชั้นบรรยากาศ แต่สามารถสร้างผลกระทบอย่างมากต่อภาวะโลกร้อน ก๊าซมีเทนส่วนใหญ่ในชั้นบรรยากาศมาจากการทำฟาร์มปศุสัตว์ การสลายตัวของขยะอินทรีย์ในหลุมฝังกลบ และการผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น การขุดถ่านหินและการแปรรูปก๊าซธรรมชาติ 

ไนตรัสออกไซด์ (N2O): ไนตรัสออกไซด์ถูกปล่อยออกมาในระหว่างกิจกรรมทางการเกษตร อุตสาหกรรมการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล และขยะมูลฝอย ตลอดจนในระหว่างการบำบัดน้ำเสีย

ก๊าซฟลูออไรด์: ได้แก่ ไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน (HFCs) เพอร์ฟลูออโรคาร์บอน (PFCs) ซัลเฟอร์เฮกซะฟลูออไรด์ (SF6) และไนโตรเจนไตรฟลูออไรด์ (NF3) รวมถึงสารซีเอฟซี (CFCs) เป็นก๊าซเรือนกระจกสังเคราะห์ที่มีประสิทธิภาพซึ่งปล่อยออกมาจากกระบวนการทางอุตสาหกรรมที่หลากหลาย โดยทั่วไปก๊าซเหล่านี้จะถูกปล่อยออกมาในปริมาณที่น้อยกว่า แต่เนื่องจากเป็นก๊าซเรือนกระจกที่มีศักยภาพบางครั้งจึงเรียกว่าก๊าซที่มีโอกาสเกิดภาวะโลกร้อนสูง

 

WILLY WILLIAM – Ego (YouTube)

 

 

ประโยชน์ของปรากฏการณ์เรือนกระจก

พวกเราส่วนใหญ่เห็นว่าปรากฏการณ์เรือนกระจกเป็นหายนะทำให้โลกร้อน เราอาจแปลกใจเมื่อรู้ว่าการมีอยู่ของก๊าซเรือนกระจกเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้สิ่งมีชีวิตดำรงอยู่ในโลกนี้ได้ ประโยชน์ของก๊าซเรือนกระจกมีดังต่อไปนี้:

(1) ปรากฏการณ์เรือนกระจกช่วยรักษาระดับอุณหภูมิบนพื้นผิวโลกให้คงที่ ทำให้สิ่งมีชีวิตสามารถอยู่อาศัยได้ ต้องขอบคุณก๊าซเรือนกระจกที่เป็นเสมือนผ้าห่มรอบโลกที่ทำให้อากาศอบอุ่นพอที่จะดำรงชีวิตได้ มิฉะนั้นความร้อนจะหนีออกจากชั้นบรรยากาศทำให้พื้นผิวโลกเย็นกว่าที่เป็นอยู่

(2) ก๊าซเรือนกระจกช่วยป้องกันรังสีจากดวงอาทิตย์ที่เป็นอันตราย เช่น รังสีอัลตร้าไวโอเลต (UV) ไม่ให้มาถึงพื้นผิวโลก ก๊าซเหล่านี้ทำงานเหมือนตัวกรองและส่งพลังงานส่วนใหญ่ที่ไม่ต้องการและสร้างความเสียหายกลับสู่อวกาศ 

(3) โอโซนซึ่งเป็นหนึ่งในก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญ ได้ดูดซับรังสี UV ที่เป็นอันตรายของดวงอาทิตย์ไว้ หากไม่มีชั้นโอโซนในชั้นบรรยากาศของเรา รังสี UV อาจส่องถึงพื้นผิวโดยตรงและส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตบนโลกในระดับมหาศาล

(4) ปรากฏการณ์เรือนกระจกทำให้โลกสามารถรักษาระดับน้ำบนพื้นผิวได้ เนื่องจากโลกมีอุณหภูมิปานกลาง น้ำแข็งของโลกจึงยังไม่ละลายอย่างสมบูรณ์ และส่วนที่เป็นน้ำแข็งถูกจำกัดไว้เฉพาะบริเวณขั้วโลก

จะเห็นได้ว่าก๊าซเรือนกระจกมีความสำคัญต่อโลกของเรามาก เป็นเวลานับพันปีแล้วปรากฏการณ์เรือนกระจกได้ช่วยให้โลกมีความสมดุลที่สมบูรณ์แบบระหว่างปริมาณพลังงานที่ดูดซับและพลังงานที่สะท้อนกลับมา

น่าเสียดายที่การใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลที่เพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้เพิ่มปริมาณก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศของโลก ซึ่งดูดซับพลังงานจากรังสีอินฟราเรดได้มากขึ้น สิ่งนี้ทำให้อุณหภูมิที่พื้นผิวโลกร้อนขึ้น ทำให้เกิด “ภาวะโลกร้อน (Global Warming)”

 

ผลเสียของปรากฏการณ์เรือนกระจก

(1) เนื่องจากก๊าซเรือนกระจกช่วยรักษาอุณหภูมิของโลกเราให้คงที่ ผลกระทบหลักของการเพิ่มขึ้นของก๊าซเรือนกระจกจึงมีผลต่อสภาพอากาศ ทำให้มีอุณหภูมิสูงขึ้นในฤดูร้อน และมีภัยธรรมชาติ เช่น เกิดพายุเฮอริเคนบ่อยครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

(2) สมดุลระดับน้ำของโลกจะถูกทำลาย ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มขึ้น ทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นทีละน้อย เป็นผลให้น้ำแข็งที่ขั้วโลกเริ่มละลาย ทำให้ระดับน้ำในมหาสมุทรสูงขึ้น เกิดน้ำท่วมในพื้นที่ต่ำ ทำให้หลายล้านชีวิตตกอยู่ในอันตราย

(3) สิ่งมีชีวิตและระบบนิเวศทางทะเลจะถูกทำลาย มหาสมุทรดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากขึ้น ส่งผลต่อระดับความเป็นกรดของน้ำทะเล สิ่งมีชีวิตในทะเลหลายรูปแบบจะได้รับผลกระทบในทางลบหากความเป็นกรดเพิ่มขึ้น ระบบนิเวศขั้วโลกจะถูกทำลาย การละลายของน้ำแข็งในทวีปอาร์กติกกำลังคุกคามที่อยู่อาศัยของหมีขั้วโลกและนกเพนกวิน

(4) ภาวะโลกร้อนจะส่งผลต่อรูปแบบสภาพอากาศเช่นกัน ปริมาณน้ำฝนจะไม่แน่นอนในหลายส่วนของโลก ในที่สุดสิ่งนี้อาจนำไปสู่การกลายเป็นทะเลทราย

(5) ผลกระทบต่อชีวิตมนุษย์และเศรษฐกิจก็จะมหาศาลเช่นกัน คาดว่าการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิจะลดผลผลิตทางการเกษตรทั่วโลกลง 2 ถึง 3 เปอร์เซ็นต์ คิดเป็นเงินล้านล้านดอลลาร์ เนื่องจากผลผลิตทางการเกษตรได้รับผลกระทบ จึงอาจนำไปสู่ความอดอยากและโรคที่เกี่ยวข้องกับการขาดสารอาหาร

 

 

Lost Frequencies feat. Janieck Devy – Reality (YouTube)

 

 

สิ่งที่ช่วยลดภาวะเรือนกระจกบนโลก

เช่นเดียวกับเรือนกระจกแก้ว เรือนกระจกของโลกก็เต็มไปด้วยพืชเช่นกัน! พืชสามารถช่วยปรับสมดุลของปรากฏการณ์เรือนกระจกบนโลกได้ พืชทุกชนิดตั้งแต่ต้นไม้ยักษ์ไปจนถึงแพลงก์ตอนซึ่งเป็นพืชขนาดเล็กในมหาสมุทร รับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพื่อการสังเคราะห์แสงและคายออกซิเจนออกมา ด้วยเหตุนี้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะถูกกำจัดออกจากชั้นบรรยากาศเมื่อพืชดูดซับโดยเป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรคาร์บอนชีวภาพ

มหาสมุทรยังดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ส่วนเกินในอากาศได้มาก น่าเสียดายที่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มขึ้นในมหาสมุทรจะเปลี่ยนน้ำทำให้เป็นกรดมากขึ้น สิ่งนี้เรียกว่าการทำให้เป็นกรดในมหาสมุทร น้ำที่เป็นกรดมากขึ้นอาจเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตในมหาสมุทรหลายชนิด เช่น หอยและปะการังบางชนิด มหาสมุทรที่ร้อนขึ้นจากก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศมากเกินไป อาจเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ได้ น้ำอุ่นเป็นสาเหตุหลักของการฟอกขาวของปะการัง

อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรมในช่วงปลายทศวรรษที่ 1700 และต้นทศวรรษที่ 1800 ผู้คนได้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกจำนวนมากสู่ชั้นบรรยากาศ จำนวนดังกล่าวพุ่งสูงขึ้นในศตวรรษที่ผ่านมา การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้น 70 เปอร์เซ็นต์ระหว่างปี 1970 ถึง 2004 ก๊าซเรือนกระจกเหล่านี้ดักจับความร้อนได้มากขึ้น แทนที่จะทำให้โลกอยู่ในอุณหภูมิที่อบอุ่นและคงที่ แต่ปรากฏการณ์เรือนกระจกจะทำให้โลกร้อนขึ้นในอัตราที่เร็วกว่ามาก นี่เป็นสาเหตุหลักของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change)

 

ปรากฏการณ์เรือนกระจกของดาวศุกร์

popsci.com

การมีก๊าซเรือนกระจกมากเกินไปจะเป็นเหตุให้อุณหภูมิสูงขึ้นถึงระดับเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต ดังเกิดกับบรรยากาศของดาวศุกร์ที่ประกอบด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เกือบทั้งหมด (ร้อยละ 96.5) อย่างที่ทราบกันดีว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นก๊าซเรือนกระจกซึ่งมีประสิทธิภาพมากในการดักจับความร้อน จึงมีผลให้อุณหภูมิพื้นผิวของดาวศุกร์ร้อนมากถึง 467 °C

ดาวศุกร์เป็นดาวเคราะห์ที่ร้อนที่สุดในระบบสุริยะ พื้นผิวของดาวศุกร์ร้อนพอที่จะหลอมตะกั่วได้ และถ้าเราสามารถยืนอยู่บนพื้นผิวดาวศุกร์ เราจะพบกับความกดอากาศที่มากกว่าที่คุ้นเคยบนโลก 92 เท่า ทำไมดาวศุกร์จึงร้อน ปรากฏการณ์เรือนกระจกของดาวศุกร์แสดงให้เราเห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อกระบวนการดักจับแสงอาทิตย์ไม่สามารถควบคุมได้

นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าครั้งหนึ่งดาวศุกร์เคยคล้ายกับโลกมาก ทั้งอุณหภูมิที่เคยต่ำกว่าในปัจจุบัน และเคยมีน้ำที่เป็นของเหลวบนพื้นผิวของดาวศุกร์ ในช่วงเวลาหนึ่งเมื่อหลายพันล้านปีก่อน ดาวเคราะห์ดวงนี้เริ่มร้อนขึ้น เมื่อถึงจุดหนึ่งน้ำทั้งหมดบนพื้นผิวระเหยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ ไอน้ำเป็นก๊าซเรือนกระจกที่ทรงพลังยิ่งกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นมาก จากนั้นพื้นผิวของดาวศุกร์ก็ร้อนจัดจนคาร์บอนที่ติดอยู่ในหินระเหิดเข้าสู่ชั้นบรรยากาศและผสมกับออกซิเจนเพื่อสร้างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากขึ้น ทำให้ชั้นบรรยากาศบนดาวศุกร์มีความหนาแน่นมากกว่าชั้นบรรยากาศของโลก 92 เท่า

สิ่งนี้อาจเกิดขึ้นบนโลกได้หรือไม่? นักวิทยาศาสตร์คิดว่าหากกระบวนการเดียวกันนี้อาจเกิดขึ้นบนโลกเรา โลกจะมีอุณหภูมิสูงขึ้นหลายร้อยองศาเซลเซียส และมีบรรยากาศที่หนาแน่นกว่าที่เรามีอยู่ 100 เท่า ดังที่สตีเฟน ฮอว์คิง เคยทำนายไว้