Artificial Intelligence, Innovation
จริงหรือไม่ที่ Google กำลังสร้าง AI ให้กลายเป็น Skynet#1 Health Care
ทั่วโลกพากันกล่าวกันว่า Google กำลังสร้าง Skynet สำหรับ Elon Musk นั้นเป็นที่รู้กันดีว่ามีความกังวลเป็นอย่างมากต่อภัยอันตรายของ AI ในการพูดที่ Recode‘s Code Conference ปี 2016 Elon Musk กล่าวว่าในบรรดาบริษัทเทคโนโลยีทั้งหมด มีอยู่บริษัทเดียวที่เขาเป็นกังวลเรื่องของ Skynet ถึง Elon Musk จะไม่เอ่ยชื่อ แต่ขณะที่พูด Elon Musk ส่งซิกไปที่ Google
Elon Musk: There’s only one AI company that worries me
สามารถฟังบทสนทนาใน video บทสนทนาอาจยาวไป สามารถเริ่มฟังที่นาทีที่ 3.50
Lucas & Steve – Where Have You Gone
จะ search หาสาวหรือจ๊ะ ใช้ Google search หาซิจ๊ะ
Google Structure and AI Advantage
ในปี 2015 Google ปรับแผนองค์กรครั้งใหญ่ โดยตั้งบริษัทใหม่ชื่อ Alphabet ขึ้นมาเป็นบริษัทแม่ (บริษัทอื่นตั้งบริษัทลูก แต่ Google ตั้งบริษัทแม่) ส่วน Google ก็กลายเป็นบริษัทลูกของ Alphabet การปรับโครงสร้างเป็นการ rerun เพื่อการ startup ใหม่หมด การแยกออกเป็นบริษัทย่อยจะทำให้การทำงานเป็นไปอย่างเป็นอิสระ ง่ายขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น Google ต้องการเปลี่ยนจากบริษัทด้าน Internet มาเป็นบริษัทด้าน Technology โดยการนำ AI มาใช้
iknowfrist.com
Google เป็นหนึ่งในบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ให้ความสำคัญต่อการคิดค้นและพัฒนา AI ออกมาช่วยให้มนุษย์ทำงานได้สะดวกสบายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตามนโยบายของ Google ที่ว่า “AI For Everyone” ซึ่ง Google อยากให้ AI เป็นของทุกคน AI สามารถสร้างประโยชน์ในชีวิตประจำวันให้คนทั่วไป และองค์การภาคธุรกิจต่างๆ รวมถึงแก้ไขปัญหาต่างๆของโลก ซึ่ง Google มองว่า AI เป็นหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่มีประสิทธิภาพที่สุดของโลก
ในบรรดา 5 บริษัทยักษ์ใหญ่ (Facebook Microsoft, Apple, Google and Amazon) Google เป็นบริษัทที่ให้ความสนใจและมีการพัฒนา AI/Machine Learning มากที่สุด จากกราฟข้างบน จะเห็นว่านับจากปี 2015 เส้นกราฟการพัฒนา AI/Machine Learning ของ Google ขึ้นนำโด่งเลย
AI and Health Care (การดูแลสุขภาพ)
capgemini.com
ด้วยข้อมูลจำนวนมหาศาล ถือเป็นภาระทางการแพทย์และบุคลากร ซึ่งต้องใช้อ้างอิงเพื่อการรักษาผู้ป่วยอย่างมีประสิทธิภาพ AI สามารถเรียนรู้ข้อมูลดิจิตัลจำนวนมหาศาลในเวลาอันรวดเร็ว จึงเหมาะที่จะเข้ามามีบทบาทร่วมกับบุคลากรทางการแพทย์ในเวลานี้
ประโยชน์ของ AI ไม่ได้จำกัดอยู่ที่การใช้ประโยชน์จากข้อมูลมหาศาลเท่านั้น AI มีความสามารถในการระบุสัญญาณของโรคได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้นเช่น MRI, CT scan, อัลตราซาวนด์และรังสีเอกซ์ ซึ่งช่วยใแพทย์สามารถวินิจฉัยโรคได้เร็วขึ้น จะช่วยลดเวลาที่ผู้ป่วยรอการวินิจฉัยจากหลายสัปดาห์เป็นเพียงชั่วโมงเท่านั้น
ผู้ให้บริการด้านสุขภาพจึงเริ่มนำ AI มาใช้เพื่อเคลื่อนไปสู่รูปแบบมาตรฐานสำหรับการบันทึกผลลัพธ์ของผู้ป่วยด้วยข้อมูลชุดใหญ่ AI สามารถติดตามรูปแบบผลลัพธ์หลังจากการรักษาและระบุการรักษาที่ดีที่สุดตามโปรไฟล์ของผู้ป่วย
โดยสรุปการนำ AI มาใช้ใน Healthcare มีเหตุผลหลักดังนี้
Cost Effectiveness – การนำ AI มาใช้จะเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการใช้จำนวนคนที่จำเป็นในการทำงานเดียวกัน AI จะช่วยลดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับภาวะแทรกซ้อนหลังการรักษาซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญหนึ่งของต้นทุนในระบบนิเวศด้านสุขภาพส่วนใหญ่ทั่วโลก
Ability to rapidly process large data sets – AI มีความสามารถในการประมวลผลชุดข้อมูลขนาดใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว ข้อมูลจำนวนมหาศาลจะถูกรวบรวมและประมวลผล AI สามารถรวบรวมข้อมูลระยะยาวเกี่ยวกับสุขภาพของบุคคล ในอนาคตอันใกล้นี้ AI จะเป็นเสมือนหนึ่งผู้ช่วยของเรา เราสามารถขอความช่วยเหลือในด้านข้อมูลดิจิตัล หรือ ถามคำถามทางการแพทย์จาก AI เกี่ยวกับสุขภาพและคำแนะนำในเรื่องการรับประทานอาหาร การดูแลสุขภาพ และขบวนการรักษา
Repeatability and reliability – AI มีความสามารถในการทำซ้ำและผลที่ได้มีความน่าเชื่อถือกว่าผลที่ได้จากมนุษย์ เพราะมนุษย์มีความเมื่อยล้าและมีความเครียดและอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง AI จะถูกนำมาใช้เพื่อช่วยลดปัญหาการขาดแคลนแพทย์และบุคลากร ปรับปรุงคุณภาพการดูแล ลดข้อผิดพลาดของมนุษย์
สรุปคือ BETTER, FASTER, AND CHEAPER
สิ่งที่ Google ให้ความสำคัญมากที่สุด คือการนำ AI มาช่วยแก้ไขปัญหาให้มนุษย์ ทั้งตอบโจทย์ในด้านสุขภาพ และทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น
Goolgle วางแผนที่จะใช้เงิน 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในการพัฒนา AI มาใช้ในภาคธุรกิจ Healthcare
บริษัทย่อยของ Google ที่ดำเนินงานทางด้าน Healthcare มี 3 บริษัทย่อย คือ DeepMind, Verily, and Calico
มาดูว่า Google ใช้ AI ในอุตสาหกรรม Healthcare อย่างไร
tynmagazine.com
Google ใช้ AI ในการระบุสัญญาณของโรค
Google DeepMind พัฒนา AI ให้ตรวจหาโรคตาได้มากกว่า 50 ชนิด ผ่านการมองเครื่องสแกนม่านตา 3 มิติ
theverge.com
Google DeepMind ได้พัฒนาซอฟต์แวร์ระบบ AI ที่สามารถระบุโรคตาหลายสิบชนิดได้จากการสแกนแบบ 3D ของจอประสาทตา ซึ่งมันสามารถระบุสัญญาณความผิดปกติทางสายตาได้มากกว่า 50 ชนิด
ระบบ AI สามารถวิเคราะห์การสแกนภาพสามมิติของจอประสาทตาในช่วงต้นของอาการเช่น โรคต้อหิน โรคตาแดง ทั้งอาการเสื่อมของจอประสาทตา อาการเบาหวานขึ้นตา เป็นต้น
ซอฟต์แวร์นี้ได้ป้อนข้อมูลการสแกน OCT 15,000 ครั้ง จากผู้ป่วยโรคทางสายตา 7,500 ราย ของโรงพยาบาล Moorfields ระบบได้ทำการสแกนพร้อมกับการวินิจฉัยโดยแพทย์ของมนุษย์ จากนั้นก็เรียนรู้วิธีระบุองค์ประกอบทางกายวิภาคที่แตกต่างกันของตา และให้คำแนะนำการรักษาตามสัญญาณต่างๆของโรคที่ได้จากการสแกน การตรวจจับของ AI นี้มีควมแม่นยำถึง 94% เมื่อเปรียบเทียบกับการวินิจฉัยโดยคณะแพทย์
ซึ่งนาย Mustafa Suleyman ผู้ร่วมก่อตั้ง Google DeepMind กล่าวว่า
“ระบบ AI ของเราสามารถแปลความหมายของการสแกนตาได้อย่างรวดเร็ว ด้วยความถูกต้องแม่นยำเป็นประวัติการณ์ และสามารถแนะนำวิธีการรักษาผู้ป่วยได้อย่างถูกต้องแม่นยำในฐานะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญชั้นนำของโลกกว่า 50 ราย”
ดร. Pearse Keane ผู้เชี่ยวชาญด้านจักษุวิทยาของโรงพยาบาล Moorfields กล่าวในแถลงการณ์ว่า
“ถ้าเราสามารถวินิจฉัยและรักษาสภาพตาได้ในช่วงต้น ๆ จะทำให้เรามีโอกาสที่ดีที่สุดในการช่วยชีวิตผู้คนด้วยการวิจัยเพิ่มเติมอาจนำไปสู่ความสม่ำเสมอและคุณภาพในการดูแลผู้ป่วยที่มีปัญหาสายตาในอนาคตมากขึ้น”
Bastille – Pompeii
twitter.com
Google Verily ได้พัฒนาเครื่องมือการเรียนรู้ระบบ AI (AI algorithm) ในการทำนายความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจโดยใช้ข้อมูลการสแกนม่านตา ซึ่งนักวิจัยของ Google ได้การฝึกฝน AI ให้เรียนรู้เพื่อคาดการณ์ความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยใช้ข้อมูลจากผู้ป่วย 284,335 ราย ซึ่งรวมถึงการสแกนม่านตาและข้อมูลทางการแพทย์
นอกจากนี้ AI ยังสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงต่างๆที่เกี่ยวกับ อายุ ความดันโลหิต เพศ สถานะการสูบบุหรี่และอื่น ๆ
เทคโนโลยีนี้จะทำให้แพทย์มีประสิทธิภาพมากขึ้นในการวิเคราะห์ความเสี่ยงต่อโรคหัวใจโดยไม่ต้องมีการตรวจเลือด อย่างไรก็ตามการนำ AI เข้ามาช่วยนี้มีความถูกต้อง 72 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งต้องมีการทดสอบเพิ่มเติมก่อนที่จะนำ AI เข้าช่วยในทางการแพทย์โดยวิธีนี้
Google สร้าง AI ใส่กล้องจุลทรรศน์ส่องเนื้อเยื่อตรวจจับมะเร็ง
Health and Wellness youtube
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนทั่วโลกเสียชีวิตจากโรคมะเร็งเต้านม 90% เป็นผลมาจากการแพร่กระจาย นักวิจัย AI ของ Google ได้พัฒนาเครื่องมือการเรียนรู้ระบบ AI (AI algorithm) มีชื่อว่า LYNA (Lymph Node Assistant) ซึ่งสามารถตรวจพบมะเร็งเต้านมระยะแพร่กระจาย LYNA แสดงให้เห็นถึงความแม่นยำที่น่าทึ่งในการบ่งชี้ว่ามะเร็งเต้านมแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองของผู้ป่วยแล้วหรือยัง
venturebeat.com
LYNA สามารถระบุตำแหน่งของโรคมะเร็งและบริเวณอื่น ๆ ได้อย่างถูกต้องภายในแต่ละภาพนิ่ง ซึ่งบางส่วนมีขนาดเล็กเกินไปที่จะตรวจพบได้โดยนักพยาธิวิทยา LYNA สามารถบอกถึงความแตกต่างระหว่างเซลมะเร็งและเซลที่ไม่ใช่มะเร็งจากภาพนิ่งได้อย่างแม่นยำถึง 99% ซึ่งเป็นสิ่งที่เหนือกว่าวิธีตรวจหามะเร็งโดยพยาธิวิทยาที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน การตรวจพบนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยในการตัดสินใจของแพทย์ในการวางแผนการรักษาโรคมะเร็งเต้านมของผู้ป่วย
Google ใช้ AI ทำนายวันตายของผู้ป่วยได้แม่นยำถึง 95%
techworm.net
ความตายมาถึงพวกเราทุกคน มันคงเป็นสิ่งที่ดีถ้าเราสามารถรู้วันตายของเราได้ เราจะได้มีโอกาสที่จะบอกลากัน
Google ได้เปิดตัว AI algorithm ตัวใหม่ซึ่งเชื่อว่าสามารถคาดการณ์ได้ว่าผู้ป่วยจะตายได้อย่างน่าเชื่อถือมากกว่าแพทย์ AI ตัวนี้สามารถเข้าถึงเวชระเบียนของผู้ป่วยได้อย่างรวดเร็วเพื่อดูข้อมูลที่สำคัญซึ่งอาจบ่งบอกถึงโอกาสที่จะรอดชีวิตได้ ซึ่งจะช่วยลดโอกาสการเสียชีวิตที่เกิดขึ้นโดยฉับพลันในขณะที่อยู่ในความดูแลของโรงพยาบาล
Google ได้ทดสอบ AI กับผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาด้วยโรคมะเร็งในขั้นสุดท้ายในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง จากของเหลวในปอดของเธอ แพทย์ของโรงพยาบาลคาดการณ์ว่าเธอมีโอกาสที่จะเสียชีวิต 9.3% ในขณะที่ AI ของ Google ทำนายโอกาสที่จะเสียชีวิตของเธอสูงถึง 19.9% น่าเสียใจที่แพทย์ไม่สามารถช่วยผู้หญิงคนนี้ได้ แต่ชื่อของเธอก็ได้รับการบันทึกแล้วในวงการการพัฒนา AI
Google ได้ทำการทดสอบความสามารถของ AI ในโรงพยาบาล 2 แห่ง ซึ่งผลปรากฎว่า AI สามารถคาดการณ์วันเสียชีวิตของผู้ป่วยแห่งแรกได้แม่นยำสูงถึง 99% และแห่งที่ 2 แม่นยำถึง 93%
Nickelback – Savin’ Me
AI ทำนายวันตายของคนแม่นยำ 99% แต่ชายหนุ่มคนนี้เก่งกว่า สามารถรู้เวลาตายของคนแม่นยำ 100% เป็นตัวเลขวินาทีเลย
Avicii – Waiting For Love
ขอให้ทุกคนมีสุขภาพแข็งแรง มีชีวิตยืนยาวและรักกันเหมือนคุณตาคุณยายคู่นี้