A Brief History of Time, Featured, Universe
ประวัติย่อของกาลเวลา (A Brief History of Time) โดย สตีเฟน ฮอว์คิง#1 บทที่ 1 ภาพของจักรวาลของเรา : Turtles All The Way Down
บทที่ 1
ภาพของจักรวาลของเรา
นักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง (บางคนกล่าว เขาคือ เบอร์ทรันด์ รัสเซลล์; Bertrand Russell) ครั้งหนึ่งในการบรรยายทางด้านดาราศาสตร์ เขาอธิบายว่าโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ได้อย่างไร และดวงอาทิตย์โคจรรอบ “ศูนย์กลางที่มีดวงดาวมาอยู่รวมกันมากมาย ที่เรียกว่า กาแล็กซีของเรา” ได้อย่างไร ในช่วงสุดท้ายของการบรรยาย หญิงชราคนหนึ่งซึ่งอยู่ด้านหลังของห้องยืนขึ้นและพูดว่า “สิ่งที่คุณพูดให้เราฟัง ช่างไร้สาระ” โลกเป็นแผ่นแบนที่วางตัวบนหลังเต่ายักษ์ตัวหนึ่ง” นักวิทยาศาสตร์ยิ้มก่อนจะพูดกลับไปว่า “แล้วเต่าตัวนั้นยืนอยู่บนอะไรหละ” หญิงชรากล่าว “คุณฉลาดมาก ชายหนุ่ม ฉลาดมาก” ” But it’s turtles all the way down” (มันเป็นเต่าตลอดทางลง)
en.wikipedia.org
ปล. เบอร์ทรันด์ รัสเซลล์ เป็นหนึ่งในนักคณิตศาสตร์ นักปรัชญา นักตรรกวิทยา ที่มีอิทธิพลอย่างสูงในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 เขาเป็นนักปรัชญาการศึกษาหัวรุนแรงที่มีบทบาทสำคัญยิ่งคนหนึ่งของอังกฤษ เป็นผู้ที่ได้สร้างผลงานด้านการศึกษาในแนวปฏิรูปไว้มากมายหลายแขนง ซึ่งเป็นที่ยอมรับและมีอิทธิพลต่อการศึกษาในปัจจุบันอย่างมาก
What Does “Turtles All The Way Down” Mean?
flickr.com
ต้นกำเนิดเรื่องราวของเต่านั้นไม่เป็นที่แน่ชัด แต่วลี “Turtles all the way down” ปรากฎในศตวรรษที่ 17 เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องตลกเก่าแก่ที่มักใช้เป็นข้อโต้แย้งสำหรับการดำรงอยู่ของพระเจ้าว่าเป็นสิ่งที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ พระเจ้าเป็นผู้สร้างโลกนี้จริงหรือ และถ้าพระเจ้าสร้างจักรวาล แล้วใครเป็นผู้สร้างพระเจ้า การที่ผู้คนเชื่อในเรื่องของพระเจ้าก็เพราะเชื่อด้วยศรัทธา แต่วลีนี้เป็นที่รู้จักมากที่สุดจากการที่มันปรากฏในตอนต้นของหนังสือ A Brief History of Time ของสตีเฟน ฮอว์คิง (Stephen hawking) ที่ตีพิมพ์ในปี 1988 ผู้หญิงคนหนึ่งเชื่อว่าโลกแบนและวางตัวอยู่บนหลังของเต่ายักษ์ ซึ่งเป็นมุมมองจักรวาลที่เก่าแก่ที่สุดย้อนกลับไปสมัยกรีกโบราณที่เชื่อว่าโลกแบนราบ เป็นคำกล่าวอ้างถึงความคิดในตำนานที่ว่า โลกวางอยู่บนหลังของสัตว์ร้ายตัวใหญ่ (เต่ายักษ์/ช้างยักษ์) และสัตว์เหล่านี้ก็ยืนอยู่บนหลังของสัตว์ตัวอื่นต่อลงไปเรื่อยๆเหมือนห่วงโซ่อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
en.wikipedia.com
ใน wikipedia.com ให้คำจัดความของวลี “Turtles all the way down” ว่าหมายถึง “ปัญหาการถดถอยอย่างไม่มีที่สิ้นสุด (problem of infinite regression)” ดังแสดงในชุดของข้อเสนอที่มีความสัมพันธ์กันอย่างไม่มีที่สิ้นสุดตามภาพข้างบน
หากความจริงของข้อเสนอ P1 ต้องการการสนับสนุนของข้อเสนอ P2
ความจริงของข้อเสนอ P2 ต้องได้รับการสนับสนุนจากข้อเสนอ P3
เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ซึ่งผู้เขียนพบ “การวิเคราะห์การถดถอย (Regression analysis)” เป็นส่วนหนึ่งในวิชาสถิติ
en.wikipedia.com
ในหนังสือ Researches Into the Early History of Mankind and the Development of Civilization Researches เขียนโดย Edward Burnett Tylor นักมานุษยวิทยาแห่งศตวรรษที่ 20 เขียนไว้ว่า แนวคิด “a World Elephant, World Turtle” น่าจะปรากฎครั้งแรกในตำนานฮินดู ซึ่งบรรยายโลกว่าถูกรองรับด้วยช้างสี่ตัวที่ยืนอยู่บนหลังเต่ายักษ์ตัวหนึ่ง
วลี “Turtles all the way down” ยืนเคียงข้างกับปัญหาอื่นๆ ที่รู้จักกัน เช่น ภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของไก่หรือไข่ ไข่เกิดก่อนไข่ หรือไก่เกิดก่อนไข่ หรือความเข้าใจผิดอย่างมีเหตุผลของการโต้เถียงแบบวงกลม
“Turtles all the way down” ถูกใช้เป็นคำอุปมาที่แสดงความขบขันเหมือนเป็นเรื่องตลกเกี่ยวกับจักรวาล เพราะเมื่อพยายามคิดปรัชญาเกี่ยวกับธรรมชาติของจักรวาล มันเป็นปัญหาเรื่องการอธิบายที่ไม่สิ้นสุด มันไม่ได้เป็นปัญหาทางฟิสิกส์หรือคณิตศาสตร์ แต่มันเป็นปัญหาเชิงปรัชญา ทำให้เกิดการโต้เถึยงกันอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
คนส่วนใหญ่จะพบว่าภาพของจักรวาลของเราเป็นหอคอยเต่าที่ไม่มีที่สิ้นสุด ค่อนข้างไร้สาระ แต่ทำไมเราถึงคิดว่าเรารู้ดีกว่า เรารู้อะไรเกี่ยวกับจักรวาล? และเรารู้ได้อย่างไร? จักรวาลมาจากไหน? และกำลังจะไปไหน? จักรวาลมีจุดเริ่มต้นมั้ย? และถ้ามี มีอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านั้น? ธรรมชาติของเวลาคืออะไร? มันจะมีจุดสิ้นสุดไหม? เราสามารถย้อนเวลากลับไปได้ไหม? ความก้าวหน้าทางฟิสิกส์ล่าสุดซึ่งเกิดขึ้นจากเทคโนโลยีใหม่ที่น่าอัศจรรย์ส่วนหนึ่งได้เสนอคำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้แล้ว สักวันคำตอบเหล่านี้อาจจะชัดเจนขึ้นสำหรับเราขณะที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ – หรืออาจไร้สาระเหมือนหอคอยเต่า เวลาเท่านั้น (อะไรก็ได้ที่อาจจะ) จะบอกเราได้
สตีเฟน ฮอว์คิง ใช้ภาพหอคอยเต่าที่ไม่มีที่สิ้นสุดในการเปิดตัวหนังสือของเขา เพื่อแนะนำมุมมองที่แตกต่างของจักรวาล คนส่วนใหญ่คิดว่าแนวคิดของโลกแบนที่ถูกรองรับด้วยเต่านั้นดูน่าขบขันและไร้สาระ สตีเฟน ฮอว์กิงตั้งคำถามแรกว่า “ทำไมเราถึงคิดว่าเรารู้ดีกว่า” และตามมาด้วยคำถามต่อๆกันไปแบบ “Turtle all the way down” มันเป็นคำถามที่ต้องการการอธิบายที่ไม่สิ้นสุด และยังไม่มีใครหรือเทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์มาให้คำตอบที่ชัดเจนได้
บางที สตีเฟน ฮอว์คิง เตือนให้เราตระหนักว่าความจริงทางวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เป็นเพียงสมมุติฐานที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ และมันมีความเป็นไปได้ตลอดเวลาว่า หญิงชราพูดถูก ทั้งนี้อาจเป็นเพราะ สตีเฟน ฮอว์คิงพยายามบอกเราว่า มันมี 2 มุมมอง ความจริงทางวิทยาศาสตร์ก็เหมือนตั้งอยู่บนหอคอยเต่าเช่นกัน ถ้าเราให้เต่าแต่ละตัวเป็นสัญลักษณ์ของ “กฎพื้นฐาน (fundamental law)” ยิ่งมีเต่าต่อตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ เสมือนยิ่งมี fundamental laws มากขึ้นเรื่อยๆ หอคอยเต่าก็ไม่ไร้สาระ
เต่าแต่ละตัวอาจถูกมองว่าเป็นอุปมา ลองพิจารณาคำถามต่อไปนี้ (1) อะไรทำให้เกิดโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ คำตอบคือแรงโน้มถ่วง ดวงอาทิตย์มีมวลมากกว่าจึงมีแรงโน้มถ่วงมากกว่าโลก สามารถดึงโลกเข้าหามันและโคจรรอบดวงอาทิตย์ (2) แต่อะไรคือสาเหตุของแรงโน้มถ่วง ตามทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอน์สไตน์ (Einstein’s theory of general relativity) ความโน้มถ่วงคือความโค้งของอวกาศ-เวลา (3) แต่อะไรทำให้เกิดความโค้ง อีกครั้งตามทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอน์สไตน์ มันคือมวล (4) แต่ทำไมมวลทำให้พื้นที่เสียรูป? ณ จุดนี้นักวิทยาศาสตร์สามารถพูดได้ว่า “นี่คือสิ่งที่เป็นอยู่” เห็นได้ชัดว่าทฤษฎีแรงโน้มถ่วงวางอยู่บนหอคอยเต่าที่ไม่มีที่สิ้นสุด แต่มีเพียงสามแห่งเท่านั้น บางทีวันหนึ่งอาจพบเต่าตัวที่สี่
คำถามพื้นฐานที่สุดของมนุษยชาตินั่นคือ เราเป็นใคร? มาจากไหน? และกำลังจะไปไหน?ในจักรวาลนี้ ทฤษฎีการสร้างมนุษย์โดยพระเจ้าเป็นจริงหรือ? ถ้าพระเจ้า (หรือบิกแบง?) สร้างทุกสิ่ง แล้วใครสร้างพระเจ้า (หรือบิกแบง?) ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ดูเหมือนจะพยายามบอกเราว่า ความเชื่อที่ว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างทุกสิ่งในจักรวาลเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ใครจะรู้ มันอาจจะเป็นหอคอยเต่าที่มีสาระก็ได้
Jordan Smith – Only Love
How much more are we gonna take เราจะเอาไปอีกเท่าไหร่
How many nights do we have to lie awake เราต้องนอนกี่คืน
How many tears are we gonna cry เราจะร้องไห้กี่ครั้ง
We can wish until the well runs dry เราสามารถปรารถนาได้จนกว่าบ่อน้ำจะแห้ง
But what happens when the sky above แต่เกิดอะไรขึ้นเมื่อท้องฟ้าเบื้องบน
Runs out of every single shooting star วิ่งออกจากดาวยิงทุกดวง
And what if every good intention’s only meant และจะเกิดอะไรขึ้นถ้าความตั้งใจที่ดีทุกอย่างนั้นมีความหมายเพียงอย่างเดียว
To go so far ไปไกล
Only love, only love can save us now ความรักเท่านั้นความรักเท่านั้นที่สามารถช่วยเราได้ในตอนนี้
Keep the world from burning down, down, down ป้องกันโลกจากการเผาไหม้ลง, ลง, ลง
To the ground, ground, ground ไปที่พื้นดินพื้นดิน
Only love, can look inside a human heart ความรักเท่านั้นที่สามารถมองเข้าไปในใจมนุษย์
And see us for who we are และดูว่าเราเป็นใคร
And who we are would be enough และเราจะเป็นใครพอ
If only there was only love ถ้ามี แต่รักเท่านั้น
Only love แค่รัก
Only love แค่รัก
Only love แค่รัก
How many lessons have we really learned เราได้เรียนรู้กี่บทเรียน
How many bridges could we cross instead of burned เราสามารถข้ามสะพานได้กี่แห่งแทนที่จะเผา
Why do we find it hard to forgive ทำไมเราพบว่ามันยากที่จะให้อภัย
We’re so blinded that it’s easy to forget เราตาบอดมากจนลืมง่าย
Only love, only love can save us now ความรักเท่านั้นความรักเท่านั้นที่สามารถช่วยเราได้ในตอนนี้
Keep the world from burning down, down, down ป้องกันโลกจากการเผาไหม้ลง, ลง, ลง
To the ground, ground, ground ไปที่พื้นดินพื้นดิน
Only love, can look inside a human heart ความรักเท่านั้นที่สามารถมองเข้าไปในใจมนุษย์
And see us for who we are และดูว่าเราเป็นใคร
And who we are would be enough และเราจะเป็นใครพอ
If only there was only love ถ้ามี แต่รักเท่านั้น
Only love แค่รัก
Only love แค่รัก
Only love แค่รัก
Only love แค่รัก
Only love แค่รัก
Only love แค่รัก
So what happens when the sky above ดังนั้นจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อท้องฟ้าเบื้องบน
Runs out of every single shooting star วิ่งออกจากดาวยิงทุกดวง
And what if every good intention’s only meant และจะเกิดอะไรขึ้นถ้าความตั้งใจที่ดีทุกอย่างนั้นมีความหมายเพียงอย่างเดียว
To go so far ไปไกล
Only love, only love can save us now ความรักเท่านั้นความรักเท่านั้นที่สามารถช่วยเราได้ในตอนนี้
Keep the world from burning down, down, down ป้องกันโลกจากการเผาไหม้ลง, ลง, ลง
To the ground, ground, ground ไปที่พื้นดินพื้นดิน
Only love, can look inside a human heart ความรักเท่านั้นที่สามารถมองเข้าไปในใจมนุษย์
And see us for who we are และดูว่าเราเป็นใคร
And who we are would be enough และเราจะเป็นใครพอ
If only there was only love ถ้ามี แต่รักเท่านั้น
(แหล่งที่มา: LyricFind)
” If it’s true that god created everything. How’s about god’s love? Why there is more suffering than happiness in this world? “