Newsletter subscribe

พืชจีเอ็ม

พืชดัดแปลงพันธุกรรม (GM Crops)#6 ฝ้ายดัดแปลงพันธุกรรม

Posted: 17/02/2021 at 08:46   /   by   /   comments (0)

ฝ้ายดัดแปลงพันธุกรรม (Genetically Modified Cotton หรือ GM cotton) ได้รับการออกแบบทางวิศวกรรมในสองลักษณะ ชนิดหนึ่งทำให้มันทนทานต่อสารเคมีกำจัดวัชพืชที่ใช้ไกลโฟเสตเช่น Monsanto’s Roundup ในขณะที่อีกชนิดหนึ่งกระตุ้นให้พืชสร้างสารพิษที่ฆ่าหนอนเจาะรูซึ่งเป็นหนึ่งในศัตรูพืชหลักของพืช ฝ้ายที่ทนต่อศัตรูพืชนี้ (pest-resistant cotton) ได้รับการออกแบบโดยใช้ยีนจากแบคทีเรีย Bacillus thurengiensis หรือ“ Bt” และเป็นที่นิยมปลูกกันมากในสองชนิดนี้

ฝ้ายบีที (ฝ้าย Bt) ได้รับการอนุมัติครั้งแรกสำหรับการทดลองภาคสนามในสหรัฐอเมริกาในปี 1993 และได้รับการอนุมัติให้ใช้ในเชิงพาณิชย์ในสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรกในปี 1995 ฝ้าย Bt ได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลจีนในปี 1997 ในปี 2002 บริษัทร่วมทุนระหว่าง Monsanto และ Mahyco ได้แนะนำผ้าฝ้าย Bt ให้กับอินเดีย 

ในปี 2011 อินเดียปลูกฝ้ายจีเอ็มที่ใหญ่ที่สุดที่ 10.6 ล้านเฮกตาร์ การปลูกฝ้ายจีเอ็มของสหรัฐฯมีเนื้อที่ 4.0 ล้านเฮกตาร์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ตามด้วยจีนที่มี 3.9 ล้านเฮกตาร์และปากีสถานมี 2.6 ล้านเฮกตาร์

ภายในปี 2014 96% ของฝ้ายที่ปลูกในสหรัฐอเมริกาได้รับการดัดแปลงพันธุกรรม และ 95% ของฝ้ายที่ปลูกในอินเดียคือฝ้ายดัดแปลงพันธุกรรมหรือฝ้าย GM อินเดียเป็นผู้ผลิตฝ้ายรายใหญ่ที่สุด

เหตุใดเกษตรกรจำนวนมากจึงยอมจ่ายเงินเพื่อซื้อเมล็ดพันธุ์จีเอ็มโอซึ่งมีราคาแพงกว่าและปลูกพืชใหม่นี้ : พวกเขาได้รับแจ้งว่ามีเงินมากขึ้นจากการปลูกฝ้ายจีเอ็มโอ ฝ้ายจีเอ็มโอควรจะมีผลผลิตที่สูงขึ้นในขณะเดียวกันก็ช่วยลดต้นทุน การประหยัดค่าใช้จ่ายในการใช้สารเคมีและการใช้แรงงานคนประมาณ 15 – 30% 

 

ฝ้ายบีทีในอินเดีย

การปลูกฝ้ายดัดแปลงพันธุกรรมในอินเดียเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการครั้งแรกในปี 2002 โดยบริษัทมอนซานโต ภายใต้ชื่อการค้า Bollgard โดยร่วมทุนกับบริษัทเมล็ดพันธุ์ของอินเดีย ฝ้ายนี้มียีนจากแบคทีเรีย Bacillus thuringiensis จึงเรียกว่าฝ้ายบีที (Bt cotton) ยีนเหล่านี้ผลิตสารพิษที่ปกป้องต้นฝ้ายจากศัตรูพืชที่เรียกว่า “หนอนเจาะสมอฝ้าย (cotton bollworm)” หลังจากการนำฝ้ายบีทีมาใช้ ทำให้เกษตรกรมีการนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้อย่างรวดเร็วโดยครอบคลุมพื้นที่ 3.8 ล้านเฮกตาร์ในปี 2006-2007 ถึง 12 ล้านเฮกตาร์ในปี 2013 ตามรายงานของรัฐบาลอินเดีย พื้นที่ฝ้ายบีทีเพิ่มขึ้นเป็น 93.14 เปอร์เซ็นต์ระหว่างช่วงเวลา 13 ปี (2002 – 2015) ร้อยละ 90 ของต้นฝ้ายทั้งหมดในอินเดียในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีรายงานว่าเป็นพืชฝ้ายบีที (ข้อมูลปี 2020)

บริษัทมอนซานโตสัญญากับเกษตรกรอินเดียว่าฝ้ายบีทีจะ: ลดปริมาณสารกำจัดศัตรูพืชที่เกษตรกรต้องซื้อเพื่อควบคุมศัตรูพืช และเพิ่มการเก็บเกี่ยวและรายได้ฟาร์ม โดยการลดการสูญเสียพืชผลเนื่องจากการโจมตีของศัตรูพืช

 

ฝ้ายจีเอ็มล้มเหลวในอินเดีย
ผลผลิตฝ้ายบีทีลดลง
เกิดศัตรูพืชทุติยภูมิ ทำให้ใช้ยาฆ่าแมลงเพิ่มขึ้น
ราคาเมล็ดฝ้ายปรับตัวสูงขึ้น
เกษตรกรสูญเสียทางเลือกในการซื้อเมล็ดพันธุ์ฝ้ายที่ไม่ใช่จีเอ็มโอ

ผลผลิตลดลง
ผู้เสนอเทคโนโลยีอ้างว่าฝ้ายบีที (ฝ้าย Bt) จะช่วยเพิ่มผลผลิตฝ้ายในอินเดียอย่างมาก ในความเป็นจริงตั้งแต่ปี 2005 ถึง 2012 การปลูกฝ้ายบีทีของอินเดียมีผลผลิตเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเพียง 2% เท่านั้น บางภูมิภาคพบความล้มเหลวอย่างรุนแรงของการปลูกฝ้ายบีที ตัวอย่างเช่นในรัฐอานธรประเทศทางตอนใต้ รัฐบาลคาดการณ์ว่า 70% ของ 1.9 ล้านเฮกตาร์ที่ปลูกด้วยฝ้ายบีทีในปี 2011 มีการสูญเสียผลผลิตมากกว่า 50% รัฐมหาราษฏระซึ่งเป็นรัฐปลูกฝ้ายที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งที่เพาะปลูกฝ้ายบีที 4.2 ล้านเฮกตาร์ ได้รายงานผลผลิตฝ้ายต่ำสุดประมาณ 5 quintal ต่อเฮกตาร์ ตั้งแต่ปี 2006 การประมาณการล่าสุดระบุว่าผลผลิตนี้มีแนวโน้มที่จะลดลงเหลือ 3 quintal ต่อเฮกตาร์

ความล้มเหลวของการปลูกฝ้ายบีทีมีสาเหตุมาจากเมล็ดพันธุ์ที่มีคุณภาพต่ำ การเกิดขึ้นของศัตรูพืชทุติยภูมิ ความต้านทานต่อหนอนเจาะ และความจริงที่ว่าเทคโนโลยี Bt ซึ่งได้รับการพัฒนาในสหรัฐอเมริกาไม่สามารถปรับให้เข้ากับสภาพการเกษตรของอินเดียได้

ผลกระทบต่อปศุสัตว์และสุขภาพของมนุษย์
เกษตรกรในหลายเขตของพื้นที่ปลูกฝ้ายของอินเดียรายงานว่าปศุสัตว์ของพวกเขาล้มป่วยหรือเสียชีวิตหลังจากแทะเล็มเศษพืชจากไร่ฝ้ายบีที รายงานที่รวบรวมโดยกลุ่มวิจัยนักวิทยาศาสตร์ด้านสัตวแพทย์และสมาคมเกษตรกรในพื้นที่พบว่ามีแกะจำนวน 1820 ตัวเสียชีวิตใน 4 หมู่บ้านในภูมิภาคเดียวหลังจากกินหญ้าในไร่ฝ้ายบีที ไม่มีการศึกษาของรัฐบาลเกี่ยวกับการเจ็บป่วยของปศุสัตว์ หรือการตายในพื้นที่ฝ้ายบีที

เกษตรกรและคนงานในฟาร์มที่ปลูกฝ้ายบีทีก็บ่นเรื่องอาการแพ้ทางผิวหนังและทางเดินหายใจ ภาคประชาสังคมและนักวิทยาศาสตร์อิสระได้ทำการศึกษา แต่ยังไม่มีการเผยแพร่การศึกษาของรัฐบาลเกี่ยวกับคำถามสุขภาพมนุษย์นี้

การใช้สารกำจัดศัตรูพืชที่เพิ่มขึ้น
คำมั่นสัญญาหลักของบริษัทมอนซานโต คือฝ้ายบีที (ฝ้าย Bt) จะลดปริมาณสารเคมีที่จำเป็นในการควบคุมศัตรูพืช อย่างไรก็ตามในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ข้อมูลของรัฐบาลแสดงให้เห็นว่าเกษตรกรใช้จ่ายกับสารกำจัดศัตรูพืชมากกว่าก่อนที่จะมีการแนะนำฝ้ายบีที สาเหตุนี้เกิดจากสองปัจจัย:

(1) แมลงได้พัฒนาความต้านทานต่อฝ้ายบีที  : หนอนเจาะสมอฝ้าย (cotton bollworm) ซึ่งเป็นศัตรูพืชของฝ้ายบีทีได้พัฒนาความต้านทานต่อสารพิษ Cry ที่ผลิตโดยฝ้ายบีที ผลักดันให้เกษตรกรใช้ยาฆ่าแมลงมากขึ้นเพื่อควบคุมศัตรูพืช เพื่อต่อสู้กับปัญหานี้ในปี 2006 มอนซานโตได้เปิดตัวฝ้ายบีทีรุ่นที่สองที่เรียกว่า Bollgard-II ซึ่งมียีน Bt สองยีนแทนยีนเดี่ยวเดิมใน Bollgard-I

(2) ศัตรูพืชทุติยภูมิ (Secondary pests) กำลังเป็นปัญหา : เนื่องจากการลดลงของประชากรหนอนเจาะในไร่ฝ้ายบีที ศัตรูพืชที่ไม่เคยเป็นภัยคุกคามที่สำคัญต่อพืชฝ้าย เช่น เพลี้ย แป้งเพลี้ย และเพลี้ยไฟ จึงแพร่หลายมากขึ้น ขณะนี้เกษตรกรใช้สารกำจัดศัตรูพืชที่มีพิษสูงเพื่อจัดการปัญหาศัตรูพืชใหม่ๆ เหล่านี้

ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น
เมล็ดพันธุ์ฝ้ายบีที (ฝ้าย Bt) ที่เกษตรกรต้องซื้อจากบริษัทเมล็ดพันธุ์ทุกปีมีราคาแพงกว่าเมล็ดพันธุ์ลูกผสมทั่วไปตั้งแต่ 3 ถึง 8 เท่า และมีราคาแพงกว่าเมล็ดพันธุ์ที่เกษตรกรหาซื้อได้จากตลาดเมื่อสองทศวรรษก่อนหลายเท่า เกษตรกรชาวไร่ฝ้ายในอินเดียยังใช้จ่ายไปกับยาฆ่าแมลงและปัจจัยการผลิตอื่นๆ ในฟาร์ม ในปี 2002 เกษตรกรใช้จ่ายยากำจัดศัตรูพืช 5.97 พันล้านรูปี และในปี 2010 จำนวนนี้เพิ่มขึ้นเป็น 8.80 พันล้านรูปี เนื่องจากเกษตรกรพยายามต่อสู้กับการต่อต้านศัตรูพืชและการเกิดศัตรูพืชทุติยภูมิ นอกจากนี้ฝ้ายบีทียังต้องการน้ำและปุ๋ยในระดับที่สูงขึ้นเพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดี เป็นการผลักต้นทุนของเกษตรกรให้สูงขึ้นอีกด้วย

ชาวนาฆ่าตัวตาย
การพึ่งพาปัจจัยการผลิตในฟาร์มที่มีราคาแพงของเกษตรกรไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เริ่มต้นด้วยการเปิดตัวเมล็ดพันธุ์ลูกผสมที่มีราคาแพงและทวีความรุนแรงขึ้นด้วยการนำฝ้ายบีทีของ Monsanto มาใช้ ความล้มเหลวของฝ้ายบีทีในการส่งมอบตามคำมั่นสัญญาให้กับเกษตรกรทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายอย่างสูง

เมื่อเกษตรกรจำนวนมากเปลี่ยนจากการใช้เมล็ดพันธุ์ที่เก็บไว้เอง การพึ่งพาตลาดสำหรับเมล็ดพันธุ์และปัจจัยการผลิตอื่นๆ จึงเพิ่มขึ้น เกษตรกรรายย่อยส่วนใหญ่ต้องกู้ยืมเงินเพื่อซื้อเมล็ดพันธุ์ ยาฆ่าแมลง และปุ๋ยราคาแพงในแต่ละฤดูกาล ธนาคารไม่เต็มใจที่จะปล่อยกู้ให้กับเกษตรกรรายย่อย และหลายรายถูกบังคับให้กู้ยืมจากผู้หาเงินอิสระที่คิดอัตราดอกเบี้ยสูง เมื่อฝ้ายให้ผลผลิตลดลง พืชล้มเหลว หรือตลาดฝ้ายล่มสลาย เกษตรกรไม่สามารถชำระคืนเงินกู้ได้และถูกผลักให้เข้าสู่วงจรแห่งหนี้และความยากจน

การผูกขาดเมล็ดพันธุ์ ต้นทุนการผลิตที่สูงและหนี้สิน เชื่อมโยงกับจำนวนการฆ่าตัวตายของชาวนาในอินเดียในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมาซึ่งส่วนใหญ่เกิดขึ้นในแถบที่ปลูกฝ้าย ตามรายงานของ National Crime Records Bureau (NCRB) มีเกษตรกรที่ฆ่าตัวตาย 321,428 รายในช่วงปี 1995-2015

เหตุใดชาวนาอินเดียจึงยังคงปลูกฝ้ายจีเอ็ม
เกือบ 90% ของฝ้ายทั้งหมดที่ปลูกในอินเดียปัจจุบันเป็นฝ้ายบีที (ฝ้าย Bt) ของบริษัทมอนซานโต (Monsanto) การผูกขาดตลาดเมล็ดพันธุ์ของ Monsanto หมายความว่าเกษตรกรไม่สามารถหาเมล็ดพันธุ์ที่ไม่ใช่จีเอ็มในตลาดได้ ฝ้ายบีทีของบริษัทจำหน่ายภายใต้แบรนด์เนมหลายแบรนด์ เนื่องจาก Monsanto มีข้อตกลงด้านลิขสิทธิ์กับบริษัทเมล็ดพันธุ์ของอินเดียหลายแห่ง เกษตรกรไม่กี่รายที่มีทางเลือกอื่นนอกจากซื้อฝ้ายบีทีของ Monsanto

 

 

Luke Brian – Rain Is A Good Thing