Agriculture, การแบนสารเคมีกำจัดศัตรูพืชอันตรายและทางเลือกทดแทน
การแบนสารเคมีกำจัดศัตรูพืชอันตราย#2 พาราควอต (Paraquat)
พาราควอต (Paraquat) เป็นสารเคมีกำจัดวัชพืชหรือยาฆ่าหญ้าที่นิยมใช้ในภาคเกษตรกรรมทั่วโลกมานานหกสิบปี เนื่องจากพาราควอตมีราคาถูก และมีประสิทธิภาพสูงสำหรับการกำจัดวัชพืช มันจึงเป็นที่นิยมใช้อย่างแพร่หลาย เป็นที่ยอมรับกันว่า “พาราควอตเป็นสารกำจัดวัชพืชที่เป็นอันตรายมากที่สุด มีพิษรุนแรงที่สุด และไม่มียาแก้พิษ” เพียงจิบน้อยกว่าหนึ่งช้อนชาก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ พาราควอตก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพและความตายในหมู่คนงานและเกษตรกรทั่วโลก โดยมีอัตราการเสียชีวิตจากการสัมผัสโดยตรงสูงถึง 40% การได้รับสารเป็นระยะเวลานานอาจทำให้เกิดโรคทางสมองที่รักษาไม่หาย เช่น โรคพาร์กินสัน พาราควอตจึงถูกห้ามการใช้ในหลายประเทศ แต่ประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่ยังอนุญาตให้ใช้พาราควอต
พาราควอตถูกผลิตและจำหน่ายครั้งแรกในปี 1962 โดยบริษัทเคมีของอังกฤษ Imperial Chemical Industries (ICI) ซึ่งกลายเป็นบริษัทซินเจนทา (Syngenta) ในปี 2000 โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองบาเซล ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ปัจจุบันซินเจนทามีพนักงานกว่า 27,000 คนในประเทศต่างๆ ครอบคลุมกว่า 90 ประเทศทั่วโลก
ซินเจนทาเป็นผู้ผลิตหลักของพาราควอตภายใต้ชื่อการค้า กรัมม็อกโซน (Grammoxone) แต่สารกำจัดวัชพืชพาราควอตก็มีขายภายใต้ชื่อการค้าที่แตกต่างกันไปโดยผู้ผลิตต่างๆ ปัจจุบันประเทศจีนเป็นผู้ผลิตพาราควอตรายใหญ่ที่สุดในโลก โดยผลิตได้มากกว่า 100,000 ตันต่อปี
ความเป็นพิษของพาราควอต
พาราควอต (Paraquat) เป็นยาปราบศัตรูพืชแบบไม่เลือกทำลาย (non-selective herbicide) คือจะเป็นอันตรายกับพืชทุกชนิดที่รับสารนี้เข้าไป ผลิตภัณฑ์พาราควอตอยู่ในรูปแบบของเหลวและใช้ฉีดพ่นบนพื้นดินเท่านั้น เกษตรกรฉีดพ่นพาราควอตเพื่อควบคุมวัชพืชก่อนหรือหลังการปลูกพืชผล พาราควอตจัดเป็นเป็นนักฆ่าวัชพืชที่มีประสิทธิภาพและออกฤทธิ์เร็ว ทำให้วัชพืชแห้งเหี่ยวและตายได้ภายใน 1-2 ชั่วโมง โดยไม่แพร่กระจายเข้าสู่เนื้อไม้ ทำให้เกษตรกรมีต้นทุนการผลิตต่ำ สามารถลดค่าใช้จ่ายด้านแรงงาน ส่งผลให้มีรายได้เพิ่ม
องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้จำแนกความปลอดภัยทางเคมีของสารกำจัดศัตรูพืช จัดให้พาราควอตอยู่ในกลุ่มสารเคมีที่มี “อันตรายปานกลาง” ต่อสุขภาพของมนุษย์ (WHO class II) แต่รายงานของสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมแห่งสหรัฐ (Environmental Protection Agency; EPA) กล่าวว่า “จากข้อมูลความเป็นพิษและการรายงานเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น มันชัดเจนว่าพาราควอตเป็นสารพิษสูงผ่านเส้นทางการรับสัมผัสทุกเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็นการกลืนกิน การสัมผัสกับผิวหนังและดวงตา”
พาราควอตเป็นปัญหาสาธารณสุขที่รุนแรงมาอย่างยาวนานในหลายประเทศ พาราควอตมีพิษต่อมนุษย์อย่างร้ายแรง แค่การกินเพียงจิบเดียวก็ถึงแก่ชีวิตได้ และไม่มียาถอนพิษ เนื่องจากหาซื้อได้ง่าย จึงมีผู้นำพาราควอตมาใช้เป็นยาพิษฆ่าตัวตาย ทำให้มีผู้เสียชีวิตจากสารเคมีชนิดนี้จำนวนมาก แต่สำหรับผู้ผลิตพาราควอตกลับถือว่าผลิตภัณฑ์ของตัวเองมีความปลอดภัยหากใช้อย่างถูกวิธี และพวกเขาไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบต่อการฆ่าตัวตายที่เกิดขึ้นนี้
ผลกระทบต่อสุขภาพที่เกิดจากพาราควอต
การสัมผัสทางผิวหนัง
ncbi.nlm.nih.gov
พาราควอตมีฤทธิ์ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อที่สัมผัสสารพิษนี้ เกษตรกรในประเทศกำลังพัฒนายังคงนิยมใช้เครื่องฉีดพ่นสารเคมีแบบสะพายหลัง โดยไม่ระวังหรือป้องกันตัวเองมากนัก จึงมีความเสี่ยงสูงในการสัมผัสพาราควอตระหว่างการใช้งาน
กรณีคนงานที่ขาดชุดป้องกันในขณะฉีดพ่นพาราควอตในสวน ละอองน้ำยาจะเกาะติดกับผิวหนัง ทำให้ผิวหนังเกิดผื่นแดงอย่างรุนแรง ตามมาด้วยตุ่มพองและเลือดออก หากถูกสารพิษพาราควอตที่มีความเข้มข้นสูงหกบนผิวหนัง จะมีอาการรุนแรงและเรื้อรังดังภาพข้างบน
หากพาราควอตสัมผัสกับผิวหนังที่เสียหายหรือบาดแผล สารพิษจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้โดยง่าย และอาจเกิดการดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดและส่งผลให้เนื้อเยื่อของอวัยวะต่างๆ เกิดความเสียหาย เคยมีเกษตรกรรายหนึ่งที่เสียชีวิตเพียง 3.5 ชั่วโมง หลังจากฉีดพ่นพาราควอตที่บรรจุในถังที่รั่วที่สะพายอยู่ด้านหลัง
หากสัมผัสที่ตาก็จะทำให้ตาบวม แดง อักเสบ ประสิทธิภาพในการมองเห็นลดลง กรณีตัวอย่างได้แก่ โยฮันนาเกษตรกรสวนปาล์มน้ำมันชาวอินโดนีเซีย ดวงตาของเธอได้รับความเสียหายอย่างถาวร เมื่อยาฆ่าวัชพืชกรัมม็อกโซน (Grammoxone) ชื่อการค้าของสารพิษพาราควอต สาดลงบนใบหน้า ทำให้เธอไม่สามารถทำงานได้ หลังจากเกิดอุบัติเหตุ หัวหน้าของเธอบอกให้เธอขนส่งสารเคมีให้เสร็จก่อนที่จะไปพบแพทย์ หลังจากเกิดอุบัติเหตุประมาณหนึ่งปีครึ่ง โยฮันนาได้รับเลนส์พิเศษเพื่อปกป้องดวงตาของเธอ เธอต้องจ่ายค่าเลนส์เอง เธอทนทุกข์ทรมานจากอาการปวดหัวและเวียนศีรษะอันเนื่องมาจากความเสียหายของเส้นประสาท
การกลืนกิน
พาราควอตเป็นสารพิษเฉียบพลัน หากได้รับเพียงไม่ถึงช้อนชาก็อาจถึงแก่ชีวิตได้ หลังจากที่กลืนกินพาราควอตเข้าไป มักมีอาการแสบร้อนภายในช่องปากและลำคอทันที ตามด้วยอาการระคายเคืองในระบบทางเดินอาหาร ทำให้เกิดอาการปวดท้อง เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน และท้องเสีย (อาจถ่ายเป็นเลือด) และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้แก่ ภาวะขาดน้ำ ภาวะไม่สมดุลของแร่ธาตุในร่างกาย ภาวะความดันโลหิตต่ำ และมีอาการหายใจไม่สะดวกร่วมด้วย ที่อาจทำให้เกิดอาการช็อกได้
การสูดดม
สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมแห่งสหรัฐ (Environmental Protection Agency; EPA) ได้จำแนกความเป็นพิษทางการหายใจของพาราควอต อยู่ในกลุ่มที่ 1 คือ มีพิษสูงสุด การหายใจเอาพาราควอตอาจทำให้ปอดถูกทำลาย หากหายใจเอาพาราควอตเป็นเวลายาวนาน อาจทำให้เกิดแผลเป็นที่ปอดที่เรียกว่า “พังผืดในปอด” ทำให้หายใจลำบาก
มีหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่าการสูบกัญชาที่ปนเปื้อนสารพาราควอตเป็นระยะยาวนาน สามารถทำให้เกิดแผลในปอด
ผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว
หากมีใครรอดชีวิตจากพิษของพาราควอต คนๆ นั้นก็ยังอาจประสบกับภาวะไตวาย ตับวาย หัวใจล้มเหลว และอาจเกิดรอยแผลเป็นในปอด รอยแผลเป็นที่หลอดอาหารทำให้กลืนอาหารลำบาก หากเด็กได้รับสารพาราควอตตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา อาจส่งผลเสียต่อพัฒนาการทางสมองของเด็ก
หลายงานวิจัยแสดงให้เห็นว่าการสัมผัสกับพาราควอตอย่างต่อเนื่อง สามารถทำลายเซลล์สมอง เพิ่มความเสี่ยงของการเป็นโรคพาร์กินสัน (Parkinsons)
การปนเปื้อนสู่สิ่งแวดล้อม
สารกำจัดวัชพืชพาราควอต (Paraquat) ถูกใช้ในการกำจัดวัชพืชมากกว่าห้าสิบปี แม้จะมีประโยชน์ทางการเกษตร แต่ด้วยพิษที่รุนแรงของพาราควอตยังส่งผลไปถึงสภาพแวดล้อมรอบๆ บริเวณที่มีการใช้สารเคมีดังกล่าว โดยเฉพาะในบริเวณที่เป็นดินเหนียวซึ่งพาราควอตถูกดูดซับได้อย่างรวดเร็ว พาราควอตสลายตัวด้วยแสงแดดและจุลินทรีย์ในดิน แต่กลไกการย่อยสลายของพาราควอตนั้นช้ามาก ทำให้พาราควอทมีอายุยืนยาวในสภาพแวดล้อมบนบกและในน้ำ
บนบก พาราควอตจะจับยึดกับอนุภาคของดินอย่างเหนียวแน่น และอยู่ในสภาพไม่มีฤทธิ์ (inactive) ครึ่งชีวิตของพาราควอตในดินสามารถอยู่ได้ถึง 20 ปี
ส่วนในน้ำ พาราควอตจะถูกดูดซับอยู่กับตะกอน ครึ่งชีวิตของพาราควอตในแหล่งน้ำของยุโรปจะอยู่ระหว่าง 2 ถึง 820 ปีขึ้นอยู่กับแสงแดดและความลึกของน้ำ มันถูกพบในแหล่งน้ำผิวดิน แหล่งน้ำดื่ม ถึงแม้ว่าจะเชื่อกันว่า พาราควอตไม่สามารถหลุดออกจากดินได้ จึงไม่รั่วไหลไปปนเปื้อนน้ำบาดาล แต่พบหลักฐานการปนเปื้อนสารพาราควอตในแหล่งน้ำใต้ดิน
Thomas Rhett – Remember You Young
ร่างกายคนเราย่อมมีความเสื่อมโทรมลงตามเวลาเมื่อมีอายุมากขึ้น โดยเฉพาะคนทำงานที่ใช้ร่างกายอย่างหนัก พักผ่อนน้อย มีภาวะเครียดสะสม อาจส่งผลให้อวัยวะสำคัญ เช่น สมอง เกิดภาวะสมองล้า ส่งผลให้ความจำและการทำงานของสมองลดลง ทำให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ โรคพาร์กินสัน และโรคความจำเสื่อมก่อนวัย
โรคพาร์กินสัน
โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) เป็นโรคที่พบมากในผู้สูงอายุ รองจากโรคอัลไซเมอร์ เป็นโรคที่เกิดจากความเสื่อมของเซลล์สมอง โดยเฉพาะเซลล์สมองส่วนที่สร้างฮอร์โมนโดพามีน (dopamine) ที่มีความสำคัญต่อการควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย
หากมีการหลั่งสารโดพามีนออกมาน้อยเกินไป หรือเซลล์สมองส่วนที่สร้างฮอร์โมนโดพามีนตาย นำไปสู่ภาวะเครียดออกซิเดชั่นซึ่งเป็นพิษต่อระบบประสาท ส่งผลให้เกิดความผิดปกติของการเคลื่อนไหวร่างกาย มีอาการมือไม้สั่น เกร็ง เคลื่อนไหวช้า นี้คือ อาการของคนเป็นโรคพาร์กินสัน
อาการของโรคพาร์กินสัน
อาการทางกาย
ร่างกายสั่น
เคลื่อนไหวช้า
หน้านิ่ง
พูดช้า เสียงค่อย
น้ำลายไหล
ร่างกายแข็งเกร็ง
เดินลำบาก เดินซอยเท้า เท้าติดเวลาก้าวขา
หกล้มง่าย
อาการทางจิตใจ
ซึมเศร้า
วิตกกังวล
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาโรคพาร์กินสันให้หายขาด แต่อย่างไรก็ตาม หากผู้ป่วยได้รับการตรวจและรับการรักษาในระยะเริ่มแรก จะสามารถช่วยชะลออาการของโรค
ตัวอย่างงานวิจัยที่แสดงความเชื่อมโยงระหว่างพาราควอตกับการเกิดโรคพาร์กินสัน
นักวิทยาศาสตร์ตั้งสมมุติฐานว่า พาราควอตจะทำให้เซลล์สมองส่วนที่สร้างฮอร์โมนโดพามีน (dopamine) เกิดความเสียหาย ทำให้โดพามีนมีปริมาณน้อยลง จึงส่งผลให้เกิดความผิดปกติของการเคลื่อนไหว เกิดเป็นโรคพาร์กินสัน
จากการศึกษาพบว่าเกษตรกรและคนงานเกษตร มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคพาร์กินสันจากการสัมผัสกับสารกำจัดวัชพืชพาราควอต (paraquat)
เมื่อปี 2011 ผลการศึกษาสถาบันด้านสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐอเมริกาได้แสดงความเชื่อมโยงระหว่างการใช้พาราควอตกับการเกิดโรคพาร์กินสันในหมู่คนงานฟาร์มเกษตร ผู้เขียนร่วมของบทความกล่าวว่า พาราควอตไปเพิ่มการสร้างอนุพันธ์ของออกซิเจนบางอย่างที่เป็นอันตรายต่อโครงสร้างของเซลล์มนุษย์ ผู้ที่ได้รับสารพาราควอต รวมทั้งสารเคมีชนิดอื่นที่มีกลไกการทำงานคล้ายกันนี้ มีแนวโน้มที่จะพัฒนาโรคพาร์กินสัน
อีกการศึกษาหนึ่งในปี 2012 The Genetic Modification of the Association of Paraquat and Parkinson’s Disease พบว่าผู้ที่ใช้พาราควอตและผู้ที่มีความแปรปรวนทางพันธุกรรมนั้น มีแนวโน้มที่จะพัฒนาโรคพาร์กินสันเพิ่มขึ้นถึง 11 เท่า
การศึกษาโดยสถาบันวิจัยชีวการแพทย์อิสระ (Buck Institute for Research) ที่วิจัยเกี่ยวกับอายุและโรค พบว่าพิษที่เกิดจากพาราควอตในหนู มีความเชื่อมโยงกับกลไกการเสื่อมของระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับการเป็นโรคพาร์กินสัน
งานวิจัยการสังเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดอย่างเป็นระบบ (Meta analysis) ที่ตีพิมพ์ในวารสารประสาทวิทยา “Neurology” ในปี 2013 พบว่า การสัมผัสสารพาราควอตทำให้มีความเสี่ยงของการเป็นโรคพาร์คินสันมากขึ้นถึง 2 เท่า
การศึกษาชีววิทยาเคมีธรรมชาติในปี 2017 A CRISPR screen identifies a pathway required for paraquat-induced cell death, Nature Chemical Biology พบความเชื่อมโยงระหว่างสารกำจัดวัชพืชพาราควอตกับโรคพาร์กินสัน พาราควอตจะผลิตอนุมูลอิสระออกซิเจน (Reactive oxygen species หรือ ROS) จำนวนมาก ทำให้เซลล์ประสาทโดโพมีนตายจาก “ความเครียดออกซิเดชั่น (oxidative stress)” ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของการเป็นโรคพาร์กินสัน
งานวิจัยหนึ่งในปี 2019 มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่เชื่อถือได้ที่แสดงความเชื่อมโยงระหว่างสารกำจัดวัชพืชพาราควอตกับโรคพาร์กินสัน ที่พบว่าผู้คนที่ได้รับสารพาราควอตตั้งแต่อายุยังน้อย – ในช่วงวัยรุ่น หรือวัยผู้ใหญ่เป็นเวลาหลายปี จะมีความเสี่ยงของการเป็นโรคพาร์กินสัน เพิ่มขึ้นจาก 200 – 600 เปอร์เซ็นต์ ขึ้นอยู่กับจำนวนปีของการสัมผัส
จดหมายจาก Michael J. Fox Foundation ถึง EPA
screenrant.com
ไมเคิล เจ. ฟ็อกซ์ (Michael J. Fox) เรารู้จักเขาเป็นอย่างดีจากบทบาทนักแสดงในภาพยนตร์ฮอลลีวูด “Back to the Future” ทั้งสามภาค ฟ็อกซ์ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคพาร์กินสันเมื่อปี 1991 ขณะอายุ 29 ปี และเปิดเผยอาการของเขาต่อสาธารณะในปี 1998 เขาเกษียณจากการแสดงในปี 2000 เมื่ออาการของโรคแย่ลง เขาได้กลายเป็นผู้สนับสนุนการวิจัยเพื่อหาวิธีรักษาโรคพาร์กินสัน และก่อตั้งมูลนิธิ Michael J. Fox
ในเดือนกรกฎาคมปี 2017 Unified Parkinson (UPAC) นำโดยมูลนิธิ Michael J. Fox ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้สนับสนุนการวิจัยเพื่อหาวิธีรักษาโรคพาร์กินสันที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ได้เขียนจดหมายถึงสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมแห่งสหรัฐ (EPA) โดยเรียกร้องให้ EPA พิจารณาแบนการใช้พาราควอตในสหรัฐอเมริกา โดยเนื้อหาสำคัญในจดหมายมีดังนี้
“การจำกัดการใช้สารเคมีพาราควอตให้กับผู้ที่มีใบอนุญาตนั้นไม่เพียงพอที่จะปกป้องทุกคน การศึกษาบ่งชี้ว่าการสัมผัสกับสารกำจัดวัชพืชพาราควอตจะเพิ่มความเสี่ยงในการพัฒนาของโรคพาร์กินสัน” จากข้อมูลของ UPAC คนหนึ่งๆ ใช้จ่ายเงินประมาณ 26,400 เหรียญสหรัฐต่อปี เพื่อการรักษาโรคพาร์กินสัน ในจดหมาย UPAC ได้เรียกร้องให้ EPA ห้ามการใช้พาราควอตในสหรัฐอเมริกา
ในเดือนกุมภาพันธ์ 2020 มูลนิธิ Michael J. Fox เพื่อการวิจัยของพาร์กินสัน (MJFF) ได้ยื่นคำร้องที่มีลายเซ็นของผู้เข้าร่วมจำนวน 107,000 คน ไปยัง EPA “เพื่อเรียกร้องให้แบนการใช้พาราควอต สารกำจัดวัชพืชที่มีการเชื่อมโยงทางวิทยาศาสตร์ที่แข็งแกร่ง ยืนยันการเพิ่มความเสี่ยงโรคพาร์กินสัน” จุดประสงค์ของการกระทำนี้ คือ เพื่อปกป้องชาวอเมริกันและปกป้องความปลอดภัยของชุมชนพาร์กินสัน กฎหมายกำจัดการใช้พาราควอตในสหรัฐอเมริกาฉบับนี้มีมานานหลายปีแล้ว พวกเขาเรียกร้องให้สภาคองเกรสพิจารณาเพื่อแบนการใช้พาราควอต
จากข้อมูลปี 2020 มีคนอเมริกันประมาณ 930,000 คนเป็นโรคพาร์กินสัน ในแต่ละปีมีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 60,000 ราย น้อยกว่า 1% เป็นโรคพาร์กินสันที่มีสาเหตุจากพันธุกรรม นักวิจัยได้มองหาปัจจัยเสี่ยงที่เป็นไปได้สำหรับการพัฒนาโรคพาร์กินสัน “หลักฐานทางระบาดวิทยาและพิษวิทยาระบุซ้ำๆ ว่า การพัฒนาโรคพาร์กินสันเกี่ยวข้องกับการสัมผัสกับสารกำจัดศัตรูพืชพาราควอต”
พาราควอตเป็นอันตรายต่อคนอเมริกันที่ทำงานด้านอาหารและการเกษตร การวิจัยแสดงให้เห็นว่าพาราควอตเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นโรคพาร์กินสันอย่างมาก การสัมผัสกับพาราควอตอย่างต่อเนื่อง สามารถทำลายเซลล์สมอง และนำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลว ไตวาย ตับวาย และรอยแผลเป็นในปอด การกลืนกินพาราควอตนำไปสู่ความตายโดยไม่มียารักษา กว่า 50 ประเทศทั่วโลกรวมถึงจีนและสหภาพยุโรปได้สั่งห้ามการใช้พาราควอตในประเทศ
Billie Eilish – when the party’s over
พาราควอตถูกใช้ในการฆ่าตัวตาย
จากรายงานขององค์การอนามัยโลก (WHO) มีคนกว่า 800,000 คนทั่วโลกเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายทุกๆ ปี โดย 76% ของการเสียชีวิตอยู่ในประเทศที่มีรายได้น้อยถึงปานกลาง ในจำนวน 800,000 กว่าคนนี้ มี 110,000 ถึง 168,000 คน ที่เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายโดยการบริโภคยาปราบศัตรูพืช
ในหลายประเทศที่มีรายได้ต่ำ ในชนบทซึ่งเป็นสังคมที่ยากจนและประกอบอาชีพเกษตรกรรมจะมีอัตราการฆ่าตัวตายที่สูงกว่าชุมชนเมือง ยกตัวอย่างเช่น ในประเทศจีน 49% ของการฆ่าตัวตาย เป็นการฆ่าตัวตายด้วยการบริโภคยาปราบศัตรูพืช ในอินเดียอยู่ที่ 39%
พาราควอต (paraquat) เป็นสารกำจัดวัชพืชที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการเกษตรที่นิยมใช้ในการฆ่าตัวตายทั่วโลก เนื่องจากความเป็นพิษที่รุนแรงของมัน 93% ของการเสียชีวิตจากพิษพาราควอตเป็นฆ่าตัวตายซึ่งเกิดขึ้นในประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่ ด้วยเหตุผลนี้พาราควอตจึงถูกแบนการใช้ในหลายๆ ประเทศทั่วโลก
การฆ่าตัวตายในซามัวในช่วงปี 1979–2001 ร้อยละ 70 เป็นการฆ่าตัวตายโดยการกลืนกินสารกำจัดวัชพืชพาราควอต
ตรินิแดดและโตเบโกเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องของการฆ่าตัวตายโดยการใช้ Gramoxone (ชื่อทางการค้าของพาราควอต) โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เมือง Penal-Debe ภาคใต้ของตรินิแดด ในช่วงปี 1996–1997 ร้อยละ 76 เป็นการฆ่าตัวตายโดยการกลืนกินสารกำจัดวัชพืชพาราควอต
อิซาเบลลา โบลว์ (Isabella Blow) บรรณาธิการแฟชั่นชื่อดังชาวอังกฤษได้ฆ่าตัวตายโดยใช้พาราควอตในปี 2007
การฆ่าตัวตายในเกาหลีใต้
ในบรรดาประเทศพัฒนาแล้ว เกาหลีใต้มีอัตราการเสียชีวิตสูงสุดจากการฆ่าตัวตาย ในปี 1995 มีผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายเฉลี่ย 12.7 คนต่อ 100,000 คนในเกาหลีใต้ และมีอัตราการเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมาเป็น 33.3 คนต่อ 100,000 คนในปี 2010 (อัตราการฆ่าตัวตายของสหรัฐอยู่ที่ 14.3 ญี่ปุ่นที่ 19.6 และจีนที่ 10.0)
การฆ่าตัวตายในเกาหลีใต้เกิดขึ้นมากในหมู่ผู้สูงอายุในพื้นที่ชนบทที่มีฐานะยากจน โดยมีสาเหตุส่วนใหญ่มาจากโรคซึมเศร้าและความเจ็บป่วยทางจิตอื่นๆ การฆ่าตัวตายเป็นสาเหตุการตายอันดับต้นๆ ของวัยรุ่นชาวเกาหลีใต้เช่นกัน ในปี 2014 เกือบ 8% ของวัยรุ่นกล่าวว่าพวกเขามีความคิดที่จะฆ่าตัวตาย
การฆ่าตัวตายในเกาหลีใต้ส่วนใหญ่ใช้วิธีบริโภคสารกำจัดศัตรูพืช คิดเป็น 21% ของการฆ่าตัวตายทั้งหมดในเกาหลีใต้ในช่วงปี 2006 ถึงปี 2010 ในบรรดาสารกำจัดศัตรูพืช สารกำจัดวัชพืชพาราควอต (paraquat) ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการทำฟาร์มในเกาหลีใต้ ถูกใช้ในการพยายามฆ่าตัวตายมากที่สุด มีการฆ่าตัวตายโดยการบริโภคสารพิษพาราควอตประมาณ 2,000 ครั้งต่อปี และทำให้เกิดการเสียชีวิต 60–70%
การแบนพาราควอตเป็นกุญแจสำคัญในการลดอัตราการฆ่าตัวตายในเกาหลีใต้
เพื่อลดอัตราการฆ่าตัวตาย ในปี 2011 เกาหลีใต้เริ่มควบคุมการสั่งซื้อขายพาราควอต (paraquat) ซึ่งเป็นสารกำจัดวัชพืชที่มักถูกใช้ในการพยายามฆ่าตัวตาย และสั่งห้ามการขายทั้งหมดในปี 2012 หลังการห้ามใช้พาราควอต อัตราการฆ่าตัวตายในเกาหลีใต้ลดลงอย่างชัดเจน
businessinsider.com
ตามรายงานขององค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่าจากปี 2011 ถึงปี 2015 อัตราการเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายลดลงเกือบ 15% โดยอัตราการฆ่าตัวตายเฉลี่ยในเกาหลีใต้ลดลงจาก 33.8 คนต่อ 100,000 คน ในปี 2010 เป็น 28.3 คนต่อ 100,000 คนในปี 2015 จากกราฟข้างบน อัตราการฆ่าตัวตายมีการลดลงอย่างมาก (56%) ในช่วงปี 2011- 2012 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เกาหลีใต้เริ่มออกกฎหมายควบคุมและห้ามการใช้พาราควอต
นายมุน แจ-อิน (Moon Jae-in) ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ที่เข้ารับตำแหน่งเมื่อปีที่แล้ว ได้ให้คำมั่นที่จะลดอัตราการฆ่าตัวตายลงเหลือ 20 คนต่อ 100,000 คนในปี 2020
ข้อสรุปของงานวิจัย : การแบนการใช้พาราควอตในเกาหลีใต้ ทำให้แนวโน้มการฆ่าตัวตายเปลี่ยนไปอย่างมาก สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่า “การป้องกันการฆ่าตัวตายที่มีประสิทธิภาพ ควรรวมถึงการออกกฎหมายที่เข้มงวดในการใช้สารกำจัดศัตรูพืชที่เป็นพิษ” และเป็นสิ่งที่ทุกประเทศควรนำไปปฏิบัติ เพื่อลดจำนวนการฆ่าตัวตายทั่วโลก
โมเดลความสำเร็จของศรีลังกาในการป้องกันการฆ่าตัวตาย
vox.com
ศรีลังกาเคยเป็นประเทศที่มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงที่สุดในโลก คือ 47 ต่อ 100,000 คน – สูงกว่าอัตราการฆ่าตัวตายทั่วโลกจากทุกวิถีทาง ในระหว่างปี 1994-1996 เพียงแค่ 3 ปี มีผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายถึง 23,655 คน 80% ของการฆ่าตัวตายด้วยพิษของยาปราบศัตรูพืช
ศรีลังกาได้กลายเป็นโมเดลของการประสบความสำเร็จในการป้องกันการฆ่าตัวตายที่โด่งดังที่สุด หลังการแบนการใช้ยาปราบศัตรูพืชอันตราย
ระหว่างปี 1976 ถึง 2011 การกลืนกินยาปราบศัตรูพืชที่มีพิษร้ายแรงเป็นวิธีการฆ่าตัวตายที่พบมากที่สุดในประเทศศรีลังกา แต่หลังจากที่รัฐบาลศรีลังกาได้ห้ามการนำเข้ายาปราบศัตรูพืชอันตรายจำนวนมากในปี 1995 และในปี 1998 พวกเขาได้สั่งห้ามอีกสองสามครั้ง ผลการศึกษาหนึ่งพบว่าอัตราการฆ่าตัวตายในศรีลังกาลดลงครึ่งหนึ่งในระหว่างปี 1995-2005
ในปี 2008 รัฐบาลศรีลังกาได้ประกาศห้ามการนำเข้ายาปราบศัตรูพืชอันตราย 3 ชนิด มีการห้ามนำเข้าในช่วง 3 ปี (2008-2011) คือ พาราควอต (paraquat) ไดเมโทเอต (dimethoate) และเฟนไทออน (fenthion) เพื่อลดอัตราการฆ่าตัวตาย เนื่องจากยาปราบศัตรูพืชทั้งสามนี้มีบทบาทสำคัญในการฆ่าตัวตายของชาวศรีลังกาในช่วง 5-10 ปีที่ผ่านมา
สำหรับพาราควอตนั้น รัฐบาลศรีลังกาเริ่มต้นด้วยการจำกัดการใช้ ลดความเข้มข้นของสูตรพาราควอททั้งหมดลงเหลือ 6.5% ในปี 2008 ตามด้วยการห้ามนำเข้าในช่วง 3 ปี (2009–2012) และสามารถกำจัดพาราควอตออกจากประเทศได้อย่างหมดสิ้นในปี 2012
โดยสรุป ศรีลังกาสามารถลดอัตราการฆ่าตัวตายโดยรวมลง 70% (ช่วยชีวิต 93,000 คน) ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ด้วยการแบนการใช้สารกำจัดศัตรูพืชด้านการเกษตรที่เป็นอันตราย
การเสียชีวิตจากการบริโภคพาราควอตโดยไม่ตั้งใจในสหรัฐอเมริกา
ระบบควบคุมสารพิษแคลิฟอร์เนีย (California Poison Control System; CPCS) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการควบคุมพิษรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา และโรงพยาบาลเด็กแห่งแคลิฟอร์เนียตอนกลาง ได้ทำการตรวจสอบข้อมูลตั้งแต่ปี 1998-2009 พบว่ามีผู้ได้รับพิษจากอุบัติเหตุหรือโดยไม่ตั้งใจมากกว่า 1,400 ราย จากการจัดเก็บสารที่ไม่ใช่อาหาร (สารพิษ) ในขวดโซดา ขวดที่ไม่มีเครื่องหมาย ถ้วยหรือแก้ว และมีผู้เสียชีวิตหลายรายที่เกี่ยวข้องกับการกลืนกินยาปราบศัตรูพืชโดยไม่ตั้งใจรวมถึงพาราควอต
ในปี 2013 ระบบควบคุมสารพิษแคลิฟอร์เนีย (CPCS) และสมาคมควบคุมสารพิษแห่งสหรัฐ (AAPCC) ได้ส่งจดหมายแสดงความกังวลต่อสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมแห่งสหรัฐ (Environmental Protection Agency; EPA) ถึงการเสียชีวิตหมู่ที่เกิดขึ้นในหุบเขา San Joaquin รัฐแคลิฟอร์เนีย สาเหตุมาจากการกลืนกินสารกำจัดวัชพืชพาราควอตโดยไม่ตั้งใจ ตามรายงานมีผู้เสียชีวิต 50 รายจากพิษของพาราควอต มีอย่างน้อย 12 คนเสียชีวิตจากการกลืนกินพาราควอตในภาชนะบรรจุเครื่องดื่มโดยไม่ตั้งใจ
นี่เป็นสิ่งที่ EPA มีความกังวลเป็นอย่างมาก เนื่องจากพาราควอตเป็นยาปราบศัตรูพืชที่ถูกจำกัดการใช้งานในสหรัฐอเมริกา ไม่สามารถซื้อขายได้ในที่สาธารณะ แต่ทำไมถึงไปปรากฎในภาชนะบรรจุเครื่องดื่ม พาราควอตเป็นพิษต่อมนุษย์สูง เพียงจิบเล็กน้อย ก็อาจถึงแก่ชีวิตได้และไม่มียาแก้พิษ
Zedd, Elley Duhé – Happy Now
อันนี้เรียก “Murder” อย่าทำนะจ๊ะ
“กลยุทธ์การป้องกันการฆ่าตัวตาย” เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกประเทศ
การฆ่าตัวตายเป็นเรื่องที่เป็นปัญหาอย่างมากของสังคมไทยและสังคมโลก ตามรายงานขององค์การอนามัยโลก (WHO) ในทุกๆ ปีมีการเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายมากกว่า 800,000 รายทั่วโลก ซึ่งเป็นจำนวนการเสียชีวิตของประชากรโลกที่สูงมาก และในจำนวนนี้มีอย่างน้อย 110,000 คนเสียชีวิตเนื่องจากการฆ่าตัวตายโดยการบริโภคยาปราบศัตรูพืช
จากรายงานปี 2016 มากกว่า 79% ของการฆ่าตัวตายทั่วโลก เกิดขึ้นในประเทศที่มีรายได้ต่ำและปานกลาง สำหรับประเทศไทยมีสถิติการฆ่าตัวตายในประเทศไทย ปี 2019 เฉลี่ย 14.4 คนต่อคนไทย 1 แสนคน หรือเทียบเท่า 10,000 รายต่อปี มากสุดอันดับ 32 ของโลก
องค์การอนามัยโลกได้กำหนดให้วันที่ 10 กันยายน ของทุกปี เป็นวันป้องกันการฆ่าตัวตายโลก (World Suicide Prevention Day) เพื่อปลุกจิตสำนึกของสาธารณชนเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายทั่วโลก และสิ่งที่ผู้คนสามารถทำได้เพื่อช่วยป้องกันมัน WHO ตระหนักดีว่าการฆ่าตัวตายเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นๆ ต่อสุขภาพของประชาชน ในปี 2014 WHO ได้ตีพิมพ์รายงาน “การป้องกันการฆ่าตัวตาย: ความจำเป็นทั่วโลก” มีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มความตระหนักถึงความสำคัญด้านสาธารณสุขของการพยายามฆ่าตัวตาย เพื่อป้องกันการฆ่าตัวตาย นอกจากนี้ยังมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนประเทศต่างๆในการพัฒนาหรือเสริมสร้างกลยุทธ์การป้องกันการฆ่าตัวตายแบบครบวงจรในแนวทางการสาธารณสุขแบบหลากหลายสาขา ในแผนปฏิบัติการสุขภาพจิตของ WHO 2013-2020 ประเทศสมาชิก WHO มุ่งมั่นที่จะทำงานเพื่อเป้าหมายระดับโลกในการลดอัตราการฆ่าตัวตายในประเทศ 10% ภายในปี 2020
การฆ่าตัวตายเป็นปัญหาสาธารณสุขที่ร้ายแรง อย่างไรก็ตามการฆ่าตัวตายเป็นเรื่องที่สามารถป้องกันได้ เนื่องจากการฆ่าตัวตายเป็นปัญหาที่ซับซ้อน ดังนั้นความพยายามในการป้องกันการฆ่าตัวตายหรือ “กลยุทธ์การป้องกันการฆ่าตัวตาย” จึงต้องอาศัยการประสานงานและความร่วมมือในหลายภาคส่วนของสังคม รวมถึงภาคสุขภาพ และภาคอื่นๆ เช่น การศึกษา แรงงาน การเกษตรธุรกิจ กฎหมาย การเมือง และสื่อ ความพยายามเหล่านี้จะต้องครอบคลุมและบูรณาการ เนื่องจากไม่มีวิธีการเดียวเพียงอย่างเดียวที่สามารถสร้างการป้องกันปัญหาที่ซับซ้อน เหมือนเช่น การฆ่าตัวตาย
หนึ่งในกลยุทธ์ที่ WHO แนะนำสำหรับประเทศต่างๆ เพื่อป้องกันการฆ่าตัวตาย คือ ห้ามการใช้ยาปราบศัตรูพืชที่มีอันตรายสูง และการใช้อาวุธปืน
The Fray – How to Save a Life
ตัวอย่างประเทศที่แบนการใช้พาราควอต
พาราควอต (paraquat) เป็นยากำจัดวัชพืชที่ทำให้เกิดความทุกข์ทรมานต่อเกษตรกรและคนงานเป็นจำนวนมากทุกวัน ปัญหาที่เกิดจากการสัมผัสสารพาราควอตพบได้ทั่วโลก การเสียชีวิตจำนวนมากได้พิสูจน์แล้วว่าการใช้อย่างปลอดภัยนั้นเป็นไปไม่ได้สำหรับพาราควอต ยังคงมีจำนวนคนเสียชีวิตหรือบาดเจ็บสาหัสจำนวนมากในแต่ละปีเนื่องจากพิษพาราควอต
พาราควอตเป็นพิษสูงและไม่มียาแก้พิษ พาราควอตมีพิษรุนแรงกว่าไกลโฟเซต (glyphosate) ถึง 28 เท่า เพียงจิบเล็กน้อยครั้งเดียวอาจถึงแก่ชีวิตได้ พิษเฉียบพลันอาจเกิดขึ้นโดยการสัมผัสทางผิวหนัง ตา หรือทางหายใจ นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยหลายชิ้นแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างพาราควอตกับการเกิดโรคพาร์กินสัน
ในปี 1985 เครือข่ายยาปราบศัตรูพืช (Pesticide Action Network; PAN) ได้เปิดตัวแคมเปญ “Dirty Dozen” ทั่วโลก มันเป็นความพยายามระดับโลกครั้งแรกของเครือข่ายยาปราบศัตรูพืชระหว่างประเทศ (PAN International) ในการดำเนินการกับสารกำจัดศัตรูพืชบางชนิดที่อันตรายที่สุด- รวมถึงพาราควอต ซึ่งขณะนี้ถูกแบนในกว่า 50 ประเทศ รวมถึงสหภาพยุโรป สวิตเซอร์แลนด์และจีน ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์พาราควอต เนื่องจากผลกระทบต่อสุขภาพที่ไม่พึงประสงค์ และมี 17 ประเทศที่จำกัดการใช้พาราควอต
ผู้สนับสนุนผลิตภัณฑ์พาราควอต มักอ้างว่าการแบนการใช้สารกำจัดวัชพืชพาราควอต จะทำให้เกิดข้อจำกัดทางเศรษฐกิจที่ไม่เป็นธรรมของเกษตรกรรายย่อยที่ใช้มันเพื่อดำเนินธุรกิจต่อไป
สหภาพยุโรป (European Union; EU)
สหภาพยุโรป (EU) อนุมัติการใช้พาราควอตในปี 2004 แต่รัฐบาลสวีเดนซึ่งได้รับการสนับสนุนจากเดนมาร์ก ออสเตรีย และฟินแลนด์ ยื่นฟ้องคณะกรรมาธิการยุโรปต่อศาลยุติธรรมแห่งสหภาพยุโรปที่ EU อนุมัติการใช้ยาฆ่าวัชพืชที่มีพิษสูง ในปี 2007 ศาลตัดสินยกเลิกคำสั่งของ EU ที่อนุญาตให้ใช้สารกำจัดวัชพืชพาราควอต โดยศาลระบุว่าการตัดสินใจของ EU ในปี 2004 นั้นไม่ถูกต้อง ที่ระบุว่าไม่มีข้อบ่งชี้ที่แสดงว่าพิษของพาราควอตมีความเกี่ยวข้องกับระบบประสาทในมนุษย์ และหลายการศึกษาพบการเชื่อมโยงระหว่างพาราควอตและโรคพาร์กินสัน ดังนั้นพาราควอตจึงถูกแบนใน 27 ประเทศสมาชิกของสหภาพยุโรปตั้งแต่ปี 2007 เป็นต้นมา
จีน
ประเทศจีนเป็นผู้ผลิตพาราควอต (paraquat) รายใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยกำลังการผลิตและผลผลิตที่มีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 80% ของทั้งหมดในโลก อุตสาหกรรมพาราควอตของจีนส่วนใหญ่พึ่งพาการส่งออก อย่างไรก็ตามธุรกิจส่งออกพาราควอตของจีนกำลังเผชิญกับความท้าทายมากมาย เนื่องจากหลายประเทศมีมาตรการห้าม หรือ จำกัดการใช้พาราควอต นอกจากนี้บางประเทศยังกำหนดข้อจำกัดในการนำเข้าและส่งออกพาราควอต
เมื่อหลายปีก่อนศูนย์ทางเลือกทดแทนยาปราบศัตรูพืชในประเทศจีน รับทราบว่ามีเกษตรกรท้องถิ่นล้มป่วยและตายอย่างหาสาเหตุไม่ได้ พวกเขาสงสัยว่าสิ่งนี้มีความเกี่ยวข้องกับสารกำจัดวัชพืชพาราควอตที่เกษตรกรใช้ในไร่นา เกษตรกรไม่รู้ว่าสารเคมีนี้เป็นอันตรายถึงชีวิต พวกเขาใช้มันเพื่อจัดการกับวัชพืชเป็นประจำ มีงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับพิษพาราควอตออกมาน้อยมาก และไม่มีคำเตือนพิษที่ร้ายแรงของพาราควอตให้เกษตรกรทราบ
เพื่อปกป้องชีวิตเกษตรกร ในเดือนเมษายน 2012 รัฐบาลจีนประกาศว่าประเทศจะห้ามการใช้พาราควอตทั้งหมดภายในปี 2016 ต่อมาในปี 2017 รัฐบาลจีนได้ประกาศจะห้ามการใช้และการขายพาราควอตโดยสิ้นเชิงในประเทศจีนตั้งแต่เดือนกันยายน 2020 เป็นต้นไป ดังนั้นจะเหลือการผลิตผลิตภัณฑ์พาราควอตเพื่อการส่งออกเพียงอย่างเดียว (ปกป้องชีวิตเกษตรกรของตัวเอง แต่ยังอนุญาตให้ผลิตสารพิษอันตรายนี้ไปขายในประเทศอื่น ไร้มนุษยธรรมสิ้นดี!)
สวิสเซอร์แลนด์
ยากำจัดวัชพืชพาราควอต ภายใต้ชื่อการค้า “Gramoxone” ผลิตโดยบริษัทซินเจนทา (Syngenta) บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเคมีเกษตรของสวิตเซอร์แลนด์ ถูกห้ามใช้ในสหภาพยุโรป (รวมทั้งสวิตเซอร์แลนด์ประเทศผู้ผลิต) ตั้งแต่ปี 2007 เนื่องจากมีความเป็นพิษสูงต่อสุขภาพของมนุษย์และสิ่งแวดล้อม
rfa.org
ในปี 2017 สวิสเซอร์แลนด์ห้ามการส่งออกสารกำจัดศัตรูพืชพาราควอตไปยังประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่ยังอนุญาตให้ซินเจนทาส่งออกพาราควอตจำนวนหลายพันตันไปยังประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งเกษตรกรและคนงานมักไม่สามารถอ่านข้อมูลทางเทคนิคบนฉลาก เพื่อป้องกันตัวเองจากผลกระทบที่เป็นอันตรายของสารพิษ (นี้ก็ double ของความไร้มนุษยธรรม!)
Public Eye เรียกร้องให้สำนักงานรัฐบาลกลางสวิสเพื่อสิ่งแวดล้อม (FOEN) ยุติการปฏิบัติสองมาตรฐานที่น่าละอายนี้ และยังเป็นการกระทำที่ละเมิดต่ออนุสัญญาบาเซล (Basel Convention) ว่าด้วยการควบคุมการเคลื่อนย้ายขยะอันตรายข้ามแดน
นักรณรงค์ของสหราชอาณาจักร (UK) ร่วมประณาม “การปฏิบัติสองมาตรฐานที่น่าตกตะลึง” ของรัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์ ที่ยังอนุญาตการส่งออกสารพิษร้ายแรงพาราควอตไปยังประเทศที่ยากจน “ความจริงที่ว่าสหภาพยุโรปตัดสินใจห้ามใช้สารกำจัดศัตรูพืชชนิดนี้ ด้วยเหตุผลด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม แต่พวกเขายังส่งออกไปยังประเทศที่มีกฎระเบียบที่อ่อนแอกว่า”
ตามรายงานของสหประชาชาติ ในแต่ละปีมีผู้เสียชีวิต 200,000 รายจากพิษเฉียบพลันของยาปราบศัตรูพืชที่มีอันตราย 99% ของการเสียชีวิตเหล่านี้เกิดขึ้นในประเทศกำลังพัฒนา ผู้เชี่ยวชาญด้านของเสียที่เป็นพิษของสหประชาชาติกล่าวว่า “การให้บุคคลในประเทศอื่นๆ รู้จักสารพิษที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อสุขภาพหรือการเสียชีวิต เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างชัดเจน สวิตเซอร์แลนด์จำเป็นต้องมีหน้าที่ในการห้ามการส่งออก พาราควอต, อาทราซีน และยาปราบศัตรูพืชอันตรายอื่นๆ ที่ถูกห้ามใช้ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์เอง”
หมายเหตุ : เครือข่ายสายตาสาธารณะ (Public Eye Network) เป็นเว็บไซต์ที่แชร์ข้อมูลต่างๆ ที่ได้จากกลุ่มนักข่าว นักสืบสวน ทนาย และนักกิจกรรม
ไทย
straitstimes.com
เดือนตุลาคม พ.ศ. 2562 คณะกรรมการวัตถุอันตรายที่มี นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธาน ได้มีมติแบน 3 สารเคมีกำจัดวัชพืช คือ ไกลโฟเซต พาราควอต และคลอร์ไพริฟอส เนื่องจากพบว่ามีอันตรายต่อสุขภาพประชาชนมาอย่างยาวนาน โดยมีผลบังคับทันทีในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2562
หลังจากมติคณะกรรมการอันตรายออกไป ปรากฏว่าผู้ที่ได้รับผลกระทบทั้งเกษตรกร ผู้นำเข้าอาหารสัตว์ต่างๆ ภายในประเทศได้ประท้วงคัดค้าน รวมทั้งการเตือนจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เนื่องจากการแบนสารเคมีกำจัดวัชพืชทั้ง 3 ชนิดจะมีผลกระทบร้ายแรงต่อของแผนการดำเนินอาชีพของเกษตรกรจากการขาดทางเลือกทดแทนที่มีราคาถูก และการส่งออกสินค้าเกษตรของสหรัฐฯ มายังประเทศไทย
หลังจากได้รับแรงกดดัน เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2562 คณะกรรมการวัตถุอันตรายชุดใหม่ได้มีมติใหม่ “ยกเลิกการแบนไกลโฟเซต เปลี่ยนมาเป็น จำกัดการใช้แทน” และเลื่อนการแบนพาราควอตและคลอร์ไพริฟอส ซึ่งเดิมกำหนดให้มีผลในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2562 เป็นวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2563 แทน เพื่อบริษัทที่จำหน่ายและร้านค้าจะสามารถระบายสต็อคไปสู่เกษตรกร เป็นการลดภาระของผู้ประกอบการ โดยให้เหตุผลของการแบนพาราควอตและคลอร์ไพริฟอสว่า “รัฐบาลอนุมัติการห้ามใช้สารเคมีที่เป็นพิษเพราะเป็นห่วงสุขภาพและความปลอดภัยของผู้ใช้และผู้บริโภค การห้ามดังกล่าวเป็นผลมาจากการศึกษาอย่างละเอียด และได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายแห่ง รวมถึงกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม คณะกรรมการวัตถุอันตรายแห่งชาติ และเครือข่ายพันธมิตรการเกษตรหลายแห่ง”
เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 แบน “พาราควอต-คลอร์ไพริฟอส” ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2563 เป็นต้นไป
มาเลเซีย
พาราควอต (paraquat) เป็นหนึ่งในสารกำจัดศัตรูพืชที่นิยมมากที่สุดในประเทศมาเลเซีย เพราะมันมีประสิทธิภาพสูงในการควบคุมวัชพืช เนื่องจากความเป็นพิษที่ร้ายแรงของสารนี้ มาเลเซียจึงห้ามการใช้พาราควอตในปี 2004 แต่ถูกนำกลับเข้าสู่ตลาดในปี 2006 หลังจากการล็อบบี้อุตสาหกรรมเกษตรและการเกษตรโดยซินเจนทา (Syngenta) บริษัทเคมีเกษตรของสวิส ผู้ผลิตและจำหน่ายพาราควอตรายใหญ่ของโลก ในชื่อการค้า Gramoxone สถิติแสดงให้เห็นว่ามีการเพิ่มจำนวนของการโทรไปยังศูนย์พิษของพิษพาราควอต หลังการยกเลิกการแบน
จากงานวิจัยในมาเลเซียพบว่า ในช่วงปี 2004-2015 มีรายงานผู้เสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับสารพิษยาปราบศัตรูพืชจำนวน 1,232 ราย ในจำนวนนี้เป็นการฆ่าตัวตายโดยการกลืนกินสารพิษ 57.2% เสียชีวิตจากการกลืนกินสารพิษโดยไม่ตั้งใจ 30.8% และเสียชีวิตจากการสัมผัสสารพิษจากการทำงาน 3.3% และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นของการฆ่าตัวตายด้วยสารพิษในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผลการวิจัยได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อให้แน่ใจว่า มีการใช้พาราควอตอย่างปลอดภัย
ปัจจุบันรัฐบาลมาเลเซียเพิ่งประกาศห้ามการใช้สารพาราควอตทั้งหมดภายในประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2020
เวียดนาม
สารกำจัดวัชพืชพาราควอต (paraquat) มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิต 1,000 คนต่อปีในเวียดนาม (vietnamnews 2017) ส่วนสารกำจัดวัชพืช 2,4-Dichlorophenoxyacetic acid (2,4-D) เป็นสารประกอบอินทรีย์ที่เป็นส่วนประกอบหลักใน “ฝนเหลือง (Agent Orange)” ที่สหรัฐอเมริกาเคยนำมาใช้ในระหว่างสงครามเวียดนาม จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลกระบุว่า 2,4-D เป็นสารก่อมะเร็งที่เป็นไปได้ มีชาวเวียดนามมากมายที่ได้รับความความทุกข์ทรมานจากปฏิบัติฝนเหลือง
หลังจากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์แสดงให้เห็นว่าสารเคมีกำจัดวัชพืชทั้งสองนี้เป็นอันตรายต่อทั้งมนุษย์และสิ่งแวดล้อม ในปี 2017 รัฐบาลเวียดนามประกาศห้ามการใช้พาราควอตของบริษัท Syngenta ซึ่งเป็นยากำจัดวัชพืชที่มีอันตรายสูง และ 2,4-Dichlorophenoxyacetic acid (2,4-D) ของบริษัท Dow Chemicals การแบนการใช้สารพิษทั้งสองตัวนี้จะช่วยปกป้องเกษตรกรชาวเวียดนาม ผู้หญิง เด็ก และผู้บริโภคจำนวนมากที่ได้รับผลกระทบที่เป็นอันตรายจากสารพิษทั้งสองนี้
ลาว
แม้รัฐบาลลาวได้ประกาศห้ามการใช้สารเคมีกำจัดวัชพืชพาราควอต (paraquat) มาตั้งแต่ปี 2014 แต่ไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายได้ เพราะไม่มีทรัพยากรเพียงพอ เกษตรกรยังสามารถซื้อพาราควอตได้อย่างง่ายดาย และยังใช้ในปริมาณที่น่าตกใจ 25 เท่าของที่แนะนำบนฉลาก “เจ้าหน้าที่สั่งห้ามการใช้งาน แต่เกษตรกรไม่สามารถหยุดใช้ได้เพราะพวกเขาคุ้นเคยกับมันมาหลายปีแล้ว และปริมาณการใช้สารกำจัดวัชพืชพาราควอตสูงถึง 80 ลิตรต่อเฮกตาร์ ซึ่งมากเกินไป การใช้งานมาตรฐานกำหนดเพียง 3 ลิตรต่อเฮกตาร์ ” เจ้าหน้าที่ขององค์กรประชาสังคมกล่าว
สำนักข่าวลาวรายงานว่า สวนกล้วยบนที่ดินที่เช่าโดยนักลงทุนต่างชาติเกือบทั้งหมดมาจากประเทศจีน กำลังจ้างชาวบ้านฉีดพ่นสารเคมีพาราควอตในที่ดินมากกว่า 60,000 ไร่ ในแขวงบ่อแก้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า “สารเคมีที่ถูกสั่งห้ามในประเทศอื่น ยังคงถูกลักลอบนำเข้ามาในจังหวัด ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนใกล้เคียง ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความจริงที่ว่า หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องไม่สามารถดำเนินการจัดการและตรวจสอบที่เหมาะสม”
“การใช้สารกำจัดวัชพืช เช่น พาราควอต ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ในพื้นที่สูง เช่น จังหวัดเซ่งเชียง สารเคมีเหล่านี้เป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรงต่อสุขภาพของมนุษย์ และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพและความอุดมสมบูรณ์ของดินลดลง” รายงานกล่าว
ปัญหาสารพิษของลาวเชื่อมโยงกับประเทศไทยจากการซื้อขายข้ามพรมแดน
ไต้หวัน
พาราควอต (paraquat) สารกำจัดวัชพืชที่อันตรายถึงชีวิตซึ่งนำไปสู่การตายประมาณ 200 รายต่อปีในไต้หวัน สภาการเกษตรของไทเปประกาศห้ามการใช้พาราควอตโดยสิ้นเชิงตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2020 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นมาตรการสำคัญในการปกป้องชีวิตและสุขภาพของเกษตรกรและครอบครัวในไต้หวัน การห้ามไม่เพียงแต่ป้องกันการเสียชีวิตจากพิษพาราควอต แต่ยังลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการพัฒนาของโรคพาร์กินสันจากการใช้สารเคมีกำจัดวัชพืชพาราควอตในระยะยาว
การห้ามใช้สารกำจัดวัชพืชพาราควอตอย่างค่อยเป็นค่อยไป แสดงผลเบื้องต้นในการลดลงของการฆ่าตัวตาย รัฐบาลประกาศห้ามการใช้พาราควอตใน 2 ขั้นตอน คือ ในเดือนตุลาคม 2017 ยอดขายพาราควอตเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากในช่วงเวลาสั้นๆ บ่งชี้ว่าผู้จำหน่ายกำลังปล่อยยากำจัดวัชพืชชนิดนี้ออกจากสต็อกโดยเร็ว ต่อจากนั้นยอดขายลดลงอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2018 และมีจำนวนผู้เสียชีวิตจากพิษพาราควอตลดลงในปีนั้น – จากปี 2015-2017 จำนวนผู้เสียชีวิตจากพิษพาราควอตเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 221 ราย แต่ในปี 2018 จำนวนเฉลี่ยลดลงเหลือ 185 คนต่อปี
บราซิล
บราซิลไม่เพียง แต่เป็นแชมป์โลกด้านการใช้สารกำจัดศัตรูพืช (มากกว่า 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี) แต่ยังเป็นผู้ซื้อสารกำจัดศัตรูพืชที่อันตรายที่สุด (Highly Hazardous Pesticides; HHPs) รายใหญ่ที่สุดของโลก
การใช้ HHPs เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในบราซิล ในปี 2019 ฝ่ายบริหารของประธานาธิบดี ฌาอีร์ เมซีอัส โบลโซนารู (Jair Bolsonaro) อนุมัติยาปราบศัตรูพืชใหม่ 474 ตัวสำหรับการใช้งานด้านการเกษตร ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดในรอบ 14 ปี การนำเข้าสารกำจัดศัตรูพืชของบราซิลก็ทำสถิติสูงสุดตลอดกาล โดยมียอดซื้อยาปราบศัตรูพืชเกือบ 335,000 ตันในปี 2019 เพิ่มขึ้น 16% เมื่อเทียบกับปี 2018
ในบราซิล มีการใช้สารพาราควอตเพื่อควบคุมวัชพืชในไร่ฝ้าย ข้าวโพด และถั่วเหลือง ก่อนและหลังการหว่านพืช
ในเดือนตุลาคม 2017 Anvisa หน่วยงานด้านการป้องกันสุขภาพของบราซิล ได้ลงมติประกาศแบนการใช้พาราควอตในบราซิล โดยจะมีผลบังคับใช้ 22 กันยายน 2020 ในช่วง 3 ปี (2017-2020) จึงเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านที่ค่อยๆ เอาพาราควอตออกจากตลาด การตัดสินใจมีขึ้น เนื่องจากพาราควอตมีความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของการเกิดโรคพาร์กินสัน และมีผลต่อการกลายพันธุ์ของเซลล์
หลังการประกาศแบนการใช้พาราควอต เกิดการล็อบบี้ธุรกิจการเกษตรชนบทและล็อบบี้อุตสาหกรรมของซินเจนทา พวกเขาวิ่งเต้นหน่วยงานของรัฐเพื่อพยายามกดดัน Anvisa ให้เลื่อนการห้ามเป็นเวลาหนึ่งปี ในเวลาเดียวกัน บริษัทอื่นๆ ก็รวบรวมข้อมูลที่จำเป็นเพื่อยืนยันว่าการตัดสินใจของ Anvisa นั้นผิดและไม่มีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์
Anvisa เองก็ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการห้ามใช้พาราควอต แต่ความคิดเห็นที่เผยแพร่ส่วนใหญ่ได้ประณามการแบนนี้ ข้อโต้แย้งที่ยกขึ้นมากที่สุด คือ ความจริงที่ว่าผลิตภัณฑ์พาราควอตมีความโดดเด่นในตลาด เพราะสามารถควบคุมวัชพืชที่ทนต่อไกลโฟเซตและสารกำจัดวัชพืชอื่น ๆ
สมาคมผู้ผลิตถั่วเหลืองของบราซิลกล่าวว่า พาราควอตเป็นผลิตภัณฑ์ทั่วไปที่มีต้นทุนต่ำและมีประสิทธิภาพสูง ที่สามารถใช้ในการจัดการวัชพืช และเทคโนโลยีที่ไม่ไถพรวน และยังช่วยปรับปรุงคุณภาพดิน ในบราซิลมีอย่างน้อย 11 วัฒนธรรมพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการเกษตรของบราซิล เมื่อพาราควอตถูกแบน เกษตรกรจะต้องหันไปใช้ผลิตภัณฑ์ทางเลือกที่มีราคาแพงกว่า ในกรณีของถั่วเหลือง เกษตรกรต้องใช้ผลิตภัณฑ์สองถึงสามชนิดมาทดแทนพาราควอต เป็นการเพิ่มต้นทุนให้กับผู้ผลิตอย่างมาก
Dua Lipa – New Rules
ตัวอย่างประเทศที่จำกัดการใช้พาราควอต
สหรัฐอเมริกา
พาราควอต (Paraquat) เป็นหนึ่งในสารกำจัดวัชพืชที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในสหรัฐอเมริกา สำหรับการควบคุมวัชพืชในพื้นที่เกษตรกรรมและนอกภาคเกษตร และยังใช้กับพืชผลทางการเกษตร เช่น ฝ้าย ก่อนการเก็บเกี่ยว พาราควอตวางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี 1964 ภายใต้ชื่อแบรนด์มากมายรวมถึง Ortho, Ortho Plus และ Gramoxone
ในปี 1970 สำนักงานปราบปรามยาเสพติดของสหรัฐอเมริกาได้มีโครงการ “Paraquat pot” เพื่อช่วยเหลือรัฐบาลเม็กซิโกในการกำจัดกัญชาและทุ่งดอกป๊อปปี้ รัฐบาลสหรัฐอเมริกาส่งเฮลิคอปเตอร์ไปใช้ในการฉีดพ่นสารกำจัดวัชพืชพาราควอตและสาร 2,4-D ทางอากาศ เพื่อฆ่าทุ่งกัญชาในเม็กซิโก กัญชาที่ปนเปื้อนสารเหล่านี้เริ่มปรากฏขึ้นในตลาดสหรัฐอเมริกา ซึ่งนำไปสู่การอภิปรายเกี่ยวกับโครงการนี้
เนื่องจากความเป็นพิษของพาราควอต สหรัฐได้จำกัดการใช้สารกำจัดวัชพืชพาราควอตอย่างเข้มงวดตั้งแต่ปี 2016 เป็นต้นไป ผู้ใช้ต้องได้รับใบอนุญาตเชิงพาณิชย์จากทางการเท่านั้น ทุกวันนี้บริษัทซินเจนทายังคงขายพาราควอตให้กับเกษตรกรชาวอเมริกันที่ได้รับการอนุญาต
จากมาตรการที่เข้มงวดในการกำจัดการใช้พาราควอตในสหรัฐอเมริกา นำไปสู่การลักลอบขนย้ายพาราควอตมาในภาชนะบรรจุเครื่องดื่ม
จากการเสียชีวิตหมู่ที่เกิดขึ้นในรัฐแคลิฟอร์เนีย ทำให้สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมแห่งสหรัฐ (Environmental Protection Agency; EPA) ทำการตรวจสอบรายงานการเสียชีวิตทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับพิษของพาราควอต จากการรายงานของ EPA พบว่า นับตั้งแต่ปี 2000 มีการลักลอบขนย้ายพาราควอตอย่างผิดกฎหมายมาในภาชนะบรรจุเครื่องดื่มเพื่อตบตาเจ้าหน้าที่ และเกิดผิดพลาด ส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุการกลืนกินพาราควอตโดยไม่ตั้งใจ 17 ราย รวมทั้งการเสียชีวิตของเด็กวัย 8 ขวบที่เกิดจากอุบัติเหตุการกลืนกินพาราควอตที่บรรจุอยู่ในขวดโซตา นอกจากนี้จากการศึกษาในปี 2011 พบว่าคนงานที่สัมผัสกับพาราควอตมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคพาร์กินสัน
นอกเหนือจากการเสียชีวิตจากการบริโภคโดยไม่ตั้งใจ ตั้งแต่ปี 2000 มีผู้เสียชีวิต 3 รายและผู้บาดเจ็บจำนวนมากที่เกิดจากพิษยาปราบศัตรูพืชเข้าสู่ผิวหนัง หรือเข้าสู่ดวงตาของผู้ที่ทำงานกับสารกำจัดวัชพืช เพื่อลดความเสี่ยงของการใช้พาราควอต EPA จึงได้เพิ่มมาตรการจำกัดการใช้พาราควอตให้เข้มงวดยิ่งขึ้น โดยผู้ที่จะใช้พาราควอตต้องผ่านการฝึกอบรมการใช้พาราควอตก่อน การฝึกอบรมดังกล่าวดำเนินการโดยผู้ผลิตพาราควอต ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อกำหนดการลดความเสี่ยงของ EPA ในปี 2006
EPA จะอนุญาตให้ผู้ที่ผ่านการรับรองจากการฝึกอบรมใช้พาราควอตได้เท่านั้น สำหรับบุคคลที่ไม่ผ่านการรับรองซึ่งทำงานภายใต้การกำกับดูแลของผู้ที่ได้รับการรับรอง จะถูกห้ามไม่ให้ใช้พาราควอต
EPA ทบทวนการขึ้นทะเบียบพาราควอต
ทุกๆ 15 ปี EPA จะตรวจสอบสารเคมีกำจัดวัชพืชใหม่ทั้งหมด เพื่อให้แน่ใจว่าสอดคล้องกับมาตรฐานความปลอดภัยของรัฐบาลกลาง หน่วยงานเริ่มทบทวนสารเคมีพาราควอตในปี 2017 จนถึงตุลาคม 2022 เพื่อตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคตของการใช้พาราควอตในสหรัฐอเมริกา
ในเดือนตุลาคม 2019 EPA ได้ดำเนินการขั้นตอนสำคัญในการทบทวนกฎระเบียบการใช้พาราควอต ที่ยังอนุญาตให้จำหน่ายในสหรัฐอเมริกาให้กับผู้ใช้ที่ได้รับใบอนุญาตเชิงพาณิชย์จากทางการเท่านั้น
โดย EPA ได้จัดทำประชาพิจารณ์เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน เพื่อประเมินความเสี่ยงของสารกำจัดวัชพืชพาราควอต ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม การประเมินความเสี่ยงเหล่านี้เป็นขั้นตอนต่อไปในกระบวนการทบทวนการขึ้นทะเบียนยาปราบศัตรูพืชของรัฐบาลกลาง (FIFRA)
อินโดนีเซีย
ในอินโดนีเซียผู้ผลิตน้ำมันปาล์มรายใหญ่ที่สุดของโลก ยังคงใช้เป็นสารกำจัดศัตรูพืชพาราควอตอย่างแพร่หลายในสวนปาล์มน้ำมัน รัฐบาลชาวอินโดนีเซียจำกัดการใช้ผลิตภัณฑ์พาราควอตในพื้นที่เพาะปลูกขนาดใหญ่เท่านั้นและต้องใช้งานด้วยเครื่องพ่นที่มีใบอนุญาต บ่อยครั้งที่ไม่มีคำแนะนำสำหรับเกษตรกรเกี่ยวกับวิธีการใช้ผลิตภัณฑ์อย่างปลอดภัย และโดยทั่วไปไม่มีการใช้อุปกรณ์ป้องกันใดๆ
คอสตาริกา
คอสตาริกาเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นโอเอซิสแห่งความสงบในอเมริกากลางที่วุ่นวาย ประเทศมีรายได้จากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และเป็นหนึ่งในผู้ผลิตและส่งออกผลไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้แก่ กล้วย, สับปะรด, แตง และกาแฟ แต่ความร่ำรวยจากการส่งออกผลไม้ของคอสตาริกามาพร้อมกับปัญหาร้ายแรงด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
คอสตาริกาเป็นหนึ่งในประเทศที่มีปริมาณการใช้ยาปราบศัตรูพืชสูงสุดในโลก เฉลี่ย 51 กิโลกรัมต่อเฮกตาร์ของพื้นที่เพาะปลูก สารกำจัดศัตรูพืชจำนวนมากที่เกษตรกรใช้ มีความเสี่ยงสูงในแง่ของความเป็นพิษเฉียบพลัน ความเสี่ยงต่อสุขภาพเรื้อรัง และการปนเปื้อนสิ่งแวดล้อม โรงพยาบาลในคอสตาริกาเต็มไปด้วยผู้ป่วยจากสารพิษและมะเร็ง สารเคมีกำจัดวัชพืชตัวหนึ่งที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในคอสตาริกา คือ พาราควอต (paraquat) ซึ่งมีความเป็นพิษเฉียบพลันสูง
จากข้อมูลสถิติแห่งชาติของคอสตาริกาตั้งแต่ปี 2008 มีการเสียชีวิตจากสารพิษถึง 100 รายต่อปี รวมทั้งกรณีเสียชีวิตจากความเป็นพิษเฉียบพลันของสารพิษกว่า 200 ราย มีรายงานการปนเปื้อนที่รุนแรงของยาปราบศัตรูพืชในเส้นทางน้ำ บ่อน้ำบาดาล และพื้นที่ชายฝั่งทะเล ทำให้ปลาและสัตว์น้ำอื่นๆ จำนวนมากตาย
ขณะนี้รัฐบาลคอสตาริกากล่าวว่าเป็นเรื่องจริงจังที่จะต้องคำนึงถึงประเด็นด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ในเดือนกันยายนปี 2020 สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินขอให้มีการออกการแจ้งเตือนด้านสุขภาพ สำหรับการใช้สารกำจัดวัชพืชไกลโฟเซตและพาราควอตอย่างไม่เหมาะสมและผิดกฎหมาย รวมทั้งยาฆ่าแมลงอื่นๆ เพื่อการใช้งานอย่างมืออาชีพ
James Bay – Let It Go
Coldplay – Fix You
Kodaline – High Hopes
” Always have high hopes. Don’t give up! “