Newsletter subscribe

About World, Facebook

Facebook#1 เรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับข้อมูล Facebook – Cambridge Analytica

Posted: 18/11/2020 at 11:01   /   by   /   comments (0)

เคมบริดจ์ แอนะลิติกา

เคมบริดจ์ แอนะลิติกา (Cambridge Analytica Ltd; CA) เป็นบริษัทที่ปรึกษาทางการเมืองของอังกฤษ เป็นนายหน้าซื้อขายข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูลร่วมกับการสื่อสารเชิงกลยุทธ์สำหรับกระบวนการเลือกตั้ง CA มีส่วนเกี่ยวข้องในการเลือกตั้งหลายร้อยครั้งทั่วโลก  อเล็กซานเดอร์ นิกซ์ (Alexander Nix) CEO ของ CA กล่าวว่า CA เกี่ยวข้องในการแข่งขันทางการเมืองในสหรัฐ 44 ครั้งในปี 2014 

ในปี 2015 บริษัทฯ ให้บริการวิเคราะห์ข้อมูลสำหรับแคมเปญหาเสียงเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกัน ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ให้ เท็ด ครูซ (Ted Cruz) วุฒิสมาชิกจากรัฐเท็กซัส 

ในปี 2016 บริษัทฯ ทำงานให้กับแคมเปญหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ตลอดจนการรณรงค์ในการลงประชามติ Brexit เกี่ยวกับการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร

 

สำนักข่าวรายงานการรั่วไหลของข้อมูลของผู้ใช้ Facebook

The Guardian และ The New York Times เผยแพร่บทความพร้อมกันในวันที่ 17 มีนาคม 2018 ในการสัมภาษณ์ คริสโตเฟอร์ ไวลี (Christopher Wylie) อดีตพนักงานของบริษัทเคมบริดจ์ แอนะลิติกา (Cambridge Analytica Ltd; CA) เกี่ยวกับการที่ CA สามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ Facebook กว่า 50 ล้านบัญชี (ตัวเลขนี้ได้รับการแก้ไขในภายหลังโดย Facebook ว่ามากถึง 87 ล้านโปรไฟล์) ผ่านแอปภายนอกในปี 2015  โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว CA  นำข้อมูลเหล่านี้ไปวิเคราะห์เพื่อรณรงค์หาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐให้กับ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) เมื่อปี 2016 

คริสโตเฟอร์ ไวลี กล่าวว่า “เราใช้ประโยชน์จาก Facebook เพื่อเก็บเกี่ยวข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับสถานที่ที่ผู้ใช้อาศัยอยู่ หน้าใดที่พวกเขาชอบเปิดอ่าน และที่สำคัญคือข้อมูลของเพื่อนด้วย และนำไปสร้างแบบจำลองเพื่อใช้ประโยชน์จากสิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับพวกเขา” ข้อมูลประเภทนี้ถูกนำไปใช้เพื่อสร้าง “เครื่องมือสงครามจิตวิทยา” ซึ่งเผยแพร่ข้อความที่ปรับแต่งเกี่ยวกับ โดนัลด์ ทรัมป์ ให้กับผู้มีสิทธิเลือกตั้งในสหรัฐฯ บนแพลตฟอร์มดิจิทัลต่างๆ เพื่อช่วยเลือก ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดี

 

ข้อมูลรั่วไหลได้อย่างไร

Cambridge Analytica ในอังกฤษได้ซื้อข้อมูลของผู้ใช้ Facebook ผ่านแอปที่สร้างขึ้นในปี 2013 โดย ศาสตราจารย์ ดร. อเล็กซานเดอร์ โคแกน (Aleksandr Kogan) นักวิจัยของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ที่บอกกับ Facebook ว่าเขารวบรวมข้อมูลดังกล่าวเพื่อจุดประสงค์ทางวิชาการ แอปนี้นำเสนอเป็นแบบทดสอบบุคลิกภาพไม่เพียงแต่รับข้อมูลจากผู้ที่ทำแบบทดสอบประมาณ 300,000 คนเท่านั้น แต่ยังมาจากเพื่อนที่เชื่อมต่อกับผู้ที่ทำแบบทดสอบด้วย ในเวลานั้นโคแกนสามารถเข้าถึงข้อมูลจากเพื่อนของผู้ทำแบบทดสอบมากถึง 87 ล้านคน 

นักวิจัยให้คำมั่นกับ Facebook ว่าข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับจะถูกลบไปในปี 2015 แต่นักวิจัยคนดังกล่าวไม่ได้ทำตามสัญญา ยังคงเก็บข้อมูลไว้และถ่ายโอนข้อมูลไปยัง Cambridge Analytica โดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ใช้ ถือเป็นการถ่ายโอนข้อมูลที่ผิดกฎหมายครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของ Facebook

 

 

Kelly Clarkson – Mr. Know It All (YouTube)

 

 

Facebook ขอโทษต่อผู้ใช้

เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2018 มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) CEO ของ Facebook ได้เผยแพร่จดหมายส่วนตัวในหนังสือพิมพ์หลายฉบับโดยขอโทษในนามของ Facebook สำหรับรายงานข่าวอื้อฉาว Facebook-Cambridge Analytica มาร์คเรียกปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ว่า “ความผิดพลาด” และ “การละเมิดความไว้วางใจ” ซัคเคอร์เบิร์กให้คำมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงและปฏิรูปนโยบายของ Facebook เพื่อป้องกันการละเมิดที่คล้ายคลึงกัน และ Facebook ได้แจ้งเตือนผู้ใช้ 70.6 ล้านคนในสหรัฐอเมริกาและผู้ใช้ราว 2.7 ล้านคนในสหภาพยุโรปที่ได้รับผลกระทบ

ในเดือนเมษายน 2018 Facebook ได้เปิดตัวเครื่องมือสำหรับผู้คนในการตรวจสอบว่าข้อมูลของพวกเขารวมอยู่ในข้อมูลที่ส่งไปยัง Cambridge Analytica หรือไม่ บริษัทวิเคราะห์นั้นไม่ใช่บริษัทเดียวที่ ดร. อเล็กซานเดอร์ โคแกนขายข้อมูลให้ บริษัทอื่น ๆ ก็สามารถเข้าถึงได้เช่นกัน มาร์ค ซักเคอร์เบิร์กกล่าวให้การต่อสภาคอนเกรสเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2018 

ในเดือนเมษายน Facebook ตัดสินใจที่จะดำเนินการตามกฎระเบียบการคุ้มครองข้อมูลทั่วไปของสหภาพยุโรป ในทุกพื้นที่ของการดำเนินงานไม่ใช่เฉพาะในสหภาพยุโรปเท่านั้น

 

#DeleteFacebook

สาธารณชนตอบสนองต่อการละเมิดความเป็นส่วนตัวของข้อมูลโดยเริ่มต้นแคมเปญ #DeleteFacebook โดยมีจุดประสงค์เพื่อเริ่มการเคลื่อนไหวเพื่อคว่ำบาตร Facebook

Brian Acton ผู้ร่วมก่อตั้ง WhatsApp ซึ่งเป็นของ Facebook เข้าร่วมในการเคลื่อนไหวโดยประกาศว่าถึงเวลาที่ต้องลบแพลตฟอร์มแล้ว แฮชแท็ก #DeleteFacebook ถูกทวีตเกือบ 400,000 ครั้งใน Twitter ภายในระยะเวลา 30 วันหลังจากข่าวการละเมิดข้อมูล อย่างไรก็ตามการสำรวจโดย บริษัทการลงทุน Raymond James พบว่าแม้ว่าผู้ใช้ Facebook ประมาณ 84% จะกังวลเกี่ยวกับวิธีที่แอปใช้ข้อมูลของตน แต่ประมาณ 48% ของผู้ตอบแบบสอบถามอ้างว่าพวกเขาจะไม่ลดการใช้งานเครือข่ายโซเชียลมีเดีย นอกจากนี้ในปี 2018 มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก ให้ความเห็นว่าเขาไม่เห็นว่ามีคนจำนวนมากลบ Facebook

 

ปฏิกริยาของรัฐบาล

รัฐบาลของอินเดียและบราซิล เรียกร้องให้บริษัท Cambridge Analytica รายงานว่าใครใช้ข้อมูลจากช่องโหว่ในการรณรงค์ทางการเมืองอย่างไร และรัฐบาลระดับภูมิภาคต่างๆ ในสหรัฐอเมริกามีการฟ้องร้องในระบบศาลของตนจากพลเมืองที่ได้รับผลกระทบจากการละเมิดข้อมูล 

ในวันที่ 10-11 เมษายน 2018 สภาคองเกรสสหรัฐอเมริกาได้เรียกมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์กมาที่วอชิงตัน เพื่อให้ปากคำในฐานะพยานต่อหน้ารัฐสภาในการพิจารณาคดีเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการรั่วไหลของข้อมูล Facebook – Cambridge Analytica

ในเดือนกรกฎาคม 2019 คณะกรรมาธิการการค้าของรัฐบาลกลางสหรัฐอเมริกา (Federal Trade Commission: FTC) ได้ลงมติอนุมัติการปรับ Facebook ประมาณ 5 พันล้านดอลลาร์ เพื่อยุติการสอบสวนการละเมิดข้อมูล ด้วยคะแนนเสียง 3–2

ในเดือนกรกฎาคม 2018 สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลของสหราชอาณาจักรปรับ Facebook 500,000 ปอนด์ (663,000 ดอลลาร์) จากการละเมิดข้อมูลซึ่งเป็นค่าปรับสูงสุดที่อนุญาตในช่วงเวลาที่มีการละเมิด โดยระบุว่า Facebook “ฝ่าฝืนกฎหมายโดยไม่สามารถป้องกันการละเมิดข้อมูลของผู้คน”

 

 

Kygo – Stranger Things ft. OneRepublic (YouTube)

 

 

เรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับข้อมูล Facebook – Cambridge Analytica

การไต่สวน

มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) CEO ของ Facebook ให้ปากคำต่อสภาคองเกรสในการพิจารณาคดีเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการรั่วไหลของข้อมูล Facebook – Cambridge Analytica เพื่อช่วยให้มีอิทธิพลต่อผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2016 รวมถึงแคมเปญ Pro-Brexit ในสหราชอาณาจักร

 

wired.com

ในช่วงวันที่ 10-11 เมษายนที่ 2018 มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) CEO ของ Facebook ในฐานะพยาน เข้าชี้แจง-ตอบคำถามจากคณะกรรมการตุลาการวุฒิสภาแห่งสหรัฐอเมริกาในวันอังคารที่ 10 เมษายน เป็นเวลา 5 ชั่วโมง และเข้าชี้แจง-ตอบคำถามจากคณะกรรมการพลังงานและการพาณิชย์ของสภาผู้แทนราษฎรแห่งสหรัฐอเมริกาในวันพุธที่ 11 เมษายน เป็นเวลา 5 ชั่วโมง ในการให้ปากคำเกี่ยวกับการละเมิดข้อมูลและความเป็นส่วนตัวของข้อมูลผู้ใช้ และเพื่ออธิบายว่า Facebook รวบรวมและจัดการข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้อย่างไร รวมถึงสิ่งที่เขาจะทำเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ในอนาคต

การพิจารณาคดีดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากทราบว่า Cambridge Analytica ของอังกฤษ ซึ่งเป็นบริษัทวิเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับแคมเปญการหาเสียงเลือกตั้งของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในปี 2016 ได้รวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้ Facebook เกือบ 87 ล้านคนและนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

 

Highlights ของการไต่สวนมีดังต่อไปนี้

vox.com

กล่าวคำขอโทษ

ก่อนการให้ปากคำต่อหน้าสภาคองเกรสเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2018 มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) เริ่มต้นด้วยการขอโทษต่อสาธารณะ มาร์คกล่าวว่า เขาต้องรับผิดชอบต่อการละเมิดข้อมูลของผู้ใช้ Facebook “มันเป็นความผิดพลาดของผมและผมขอโทษ” เขายอมรับผิดชอบต่อความล้มเหลวในการป้องกัน Cambridge Analytica ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำงานให้กับแคมเปญชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของ Donald Trump จากการรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลจากผู้ใช้ 87 ล้านคนโดยไม่ได้รับอนุญาต เพื่อพยายามมีอิทธิพลต่อการเลือกตั้ง “ผมเป็นผู้เปิดใช้งาน Facebook ผมต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่” เขากล่าว

เขาเสริมว่า Facebook หละหลวมในการปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้และอนุญาตให้ผู้โฆษณาทางการเมืองเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้ได้ “เห็นได้ชัดว่าเราไม่ได้ทำเพียงพอที่จะป้องกันไม่ให้เครื่องมือเหล่านี้ถูกนำไปใช้เพื่อทำร้ายผู้อื่นหรือเผยแพร่ข้อมูลที่ผิด”  “นั่นเป็นเพราะข่าวปลอม การแทรกแซงจากต่างประเทศในการเลือกตั้ง และคำพูดแสดงความเกลียดชัง”

มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก เปิดเผยว่าในปี 2013 ศาสตราจารย์ ดร. อเล็กซานเดอร์ โคแกน (Aleksandr Kogan) นักวิจัยของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ได้สร้างแอปแบบทดสอบบุคลิกภาพชื่อ “thisisyourdigitallife” ที่มีการรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลจากผู้ใช้ประมาณ 300,000 คน จากนั้นแอปก็สามารถดึงข้อมูล Facebook รวมถึงข้อมูลของเพื่อนของผู้ใช้ จนกระทั่งปี 2015 Facebook ถึงรู้ว่าโคแกนขายข้อมูลของผู้ใช้เหล่านี้ให้กับ Cambridge Analytica และทาง Facebook ได้ขอให้ Cambridge Analytica ลบข้อมูลทั้งหมด จนกระทั่งเรื่องนี้ถูกค้นพบโดย The Guardian, The New York Times และ Channel 4 ว่าข้อมูลดังกล่าวยังไม่ถูกลบออกไปเมื่อเร็วๆนี้

 

theatlantic.com

มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ได้ยอมรับว่า เขาเป็นหนึ่งในผู้เสียหายที่ข้อมูลส่วนตัวรั่วไหลและถูกบริษัทเคมบริดจ์ อะนาลีติกา (Cambridge Analytica) นำไปหาประโยชน์โดยไม่ได้รับอนุญาต และยอมรับว่าข้อมูลผู้ใช้ที่รั่วไหลมีจำนวน 87 ล้านบัญชี ไม่ใช่ 50 ล้านบัญชีตามที่ได้รายงานในช่วงแรก และยอมรับว่าบริษัทไม่ได้ดำเนินการอย่างเพียงพอที่จะป้องกันไม่ให้มีการเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้

ในคำให้การ มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก บอกกับฝ่ายนิติบัญญัติว่า “เราไม่ขายข้อมูลให้ใคร” เขายังกล่าวอีกว่า “นี่เป็นหลักการที่สำคัญที่สุดสำหรับ Facebook เนื้อหาทุกชิ้นที่คุณแชร์บน Facebook คุณเป็นเจ้าของและคุณสามารถควบคุมได้อย่างสมบูรณ์ว่าใครจะเห็น และแชร์อย่างไร และคุณสามารถลบออกได้ทุกเมื่อ” เขายังกล่าวเสริม “ความรับผิดชอบในการเลือกใช้ การตั้งค่าความเป็นส่วนตัวบน Facebook นั้นขึ้นอยู่กับผู้ใช้ ผู้ใช้สามารถเลือกที่จะออกจาก Facebook ได้หากต้องการ พวกเขาสามารถลบข้อมูล Facebook ได้เมื่อต้องการ”

 

Facebook ไม่ได้แจ้ง FTC เกี่ยวกับการรั่วไหลของข้อมูล

มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ถูกถามหลายต่อหลายครั้งว่า เหตุใดบริษัทจึงไม่แจ้งให้ผู้ใช้ทราบถึงข้อมูลที่บริษัทเคมบริดจ์ แอนะลิติกา (Cambridge Analytica) ได้ไปให้เร็วกว่านั้น มาร์คยอมรับว่าเป็นความผิดพลาด Facebook ได้เรียนรู้เป็นครั้งแรกเกี่ยวกับการละเมิดข้อมูลในเดือนกันยายน 2015 และบริษัทพยายามที่จะแก้ไขปัญหาดังกล่าว

โปรไฟล์ของผู้ใช้ Facebook 87 ล้านคนถูกรวบรวมโดยแอปตอบคำถาม โดยผู้พัฒนา ดร. อเล็กซานเดอร์ โคแกน (Aleksandr Kogan) เขาได้ขายข้อมูลผู้ใช้ให้กับบริษัทที่ปรึกษาทางการเมือง Cambridge Analytica ซึ่งสนับสนุนโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ในการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นการละเมิดนโยบายของ Facebook ที่ห้ามไม่ให้นักวิจัยขายหรือแบ่งปันข้อมูลกับบุคคลที่สาม

เมื่อ Facebook รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงได้ขอให้ Cambridge Analytica ลบข้อมูล ตอนนั้น Facebook มั่นใจว่า Cambridge Analytica ทำตามที่ร้องขอในปี 2015 แต่รายงานล่าสุดชี้ให้เห็นว่าข้อมูลยังคงมีอยู่ และ Cambridge Analytica ได้ปฏิเสธเรื่องนี้

Facebook ยอมรับว่าไม่ได้ตรวจสอบว่าข้อมูลถูกลบไปแล้วหรือยัง หลังจากที่ส่งคำขอไปยัง Cambridge Analytica ให้ทำเช่นนั้น “หากมองย้อนกลับไป มันเป็นความผิดพลาดของเราอย่างชัดเจน เราได้ปรับปรุงนโยบายของเราเพื่อให้แน่ใจว่าเราจะไม่ทำผิดพลาดอีก” มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก กล่าวกับวุฒิสมาชิก เขากล่าวต่อไปว่า Facebook ไม่ได้แจ้งคณะกรรมาธิการการค้าของรัฐบาลกลางสหรัฐอเมริกา (Federal Trade Commission: FTC)  เกี่ยวกับการรั่วไหลของข้อมูล Cambridge Analytica นับตั้งแต่ปี 2015 เนื่องจากบริษัท “พิจารณาว่าเป็นกรณีปิด ไม่เปิดเผย”

เขากล่าวว่า Facebook ได้เริ่มแจ้งผู้ใช้ว่าข้อมูลของพวกเขาถูกแชร์อย่างไม่เหมาะสมกับ Cambridge Analytica และบริษัทจะตรวจสอบทุกแอปที่เข้าถึงข้อมูลจำนวนมากก่อนปี 2014 เขาคาดว่าจะมีการค้นพบช่องโหว่เพิ่มเติม หากพบว่านักพัฒนาคนใดใช้ข้อมูลอย่างไม่เหมาะสม เราจะแบนพวกเขาจาก Facebook และผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของการละเมิดข้อมูลนั้นจะได้รับแจ้ง 

 

Facebook เวอร์ชันจ่ายเงิน?

มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) CEO ของ Facebook ถูกตั้งคำถามมากมายเกี่ยวกับรูปแบบธุรกิจของบริษัท และจะสามารถปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ได้อย่างแท้จริงหรือไม่ เนื่องจากต้องอาศัยการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตและพฤติกรรมของผู้ใช้อย่างมาก วุฒิสมาชิกหลายคนถาม มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก ว่าในอนาคต Facebook จะมีเวอร์ชันจ่ายเงินสำหรับผู้ใช้ที่ไม่ต้องการโฆษณา หรือไม่ต้องการให้ข้อมูลส่วนบุคคลของตนถูกแชร์อย่างไม่เหมาะสมหรือไม่?  มาร์คกล่าวว่า “อาจเป็นไปได้ที่จะมีตัวเลือกแบบชำระเงิน แต่จะมี Facebook เวอร์ชันฟรีอยู่เสมอ” มาร์คอธิบายว่า “รูปแบบที่สนับสนุนโฆษณานั้นสอดคล้องกับพันธกิจของเราในการพยายามเชื่อมต่อกับทุกคนในโลกมากที่สุด เพราะเราต้องการเสนอบริการฟรีเพื่อเข้าถึงผู้ชมในวงกว้างที่สุด”

 

Facebook ขายข้อมูลผู้ใช้ให้กับผู้โฆษณาหรือไม่?

มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ถูกตั้งคำถามในระหว่างการพิจารณาคดีว่า Facebook ขายข้อมูลผู้ใช้ให้กับผู้โฆษณาหรือไม่ มาร์คชี้แจงว่า “มีความเข้าใจผิดที่พบบ่อยมากว่าเราขายข้อมูลให้กับผู้ลงโฆษณา เราไม่ขายข้อมูลให้กับผู้ลงโฆษณา” อย่างไรก็ตาม Facebook ใช้ข้อมูลที่ผู้คนให้มา เช่น อายุ เพศ และความสนใจ เพื่อกำหนดเป้าหมายโฆษณาไปยังผู้ชมเฉพาะกลุ่ม เมื่อผู้ลงโฆษณาบอก Facebook ว่าต้องการเข้าถึงกลุ่มประชากรใด จากนั้นโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่จะวางโฆษณาในบัญชีที่เกี่ยวข้อง

 

Facebook ผูกขาดการให้บริการหรือไม่?

วุฒิสมาชิก ลินด์เซย์ เกรแฮม (Sen. Lindsey Graham) กล่าวว่า “ถ้าผมซื้อรถของฟอร์ดและพบว่าคุณภาพไม่ดี ก็สามารถเปลี่ยนไปซื้อรถของเชฟโรเลตแทนได้ แต่กับ Facebook ไม่มีแพลตฟอร์มไหนที่จะเป็นผู้ให้บริการที่เท่าเทียมกับคุณที่ผมจะเลือกใช้ได้อีก แพลตฟอร์มนี้ไม่มีการแข่งขัน คุณคิดว่า Facebook ผูกขาดการให้บริการหรือไม่”

มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ยืนยันว่า Facebook ไม่ได้ผูกขาดในด้านการให้บริการ Facebook มีบริการที่หลากหลายและมีการแข่งขันใน “หมวดหมู่” ที่แตกต่างกัน โดยปกติแล้วคนอเมริกันจะใช้แอปพลิเคชันเฉลี่ยมากถึง 8 แอปฯไปจนถึงอีเมล เพื่อติดต่อสื่อสารกับเพื่อนๆ หรือผู้คนตลอดเวลา ลินด์เซย์ เกรแฮมได้ขอให้มาร์คเอ่ยชื่อคู่แข่งของ Facebook และมาร์คได้เอ่ยถึง Google, Apple, Amazon และ Microsoft

 

Facebook ฟังโทรศัพท์ของผู้ใช้หรือไม่?

ในระหว่างการให้ปากคำของมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) วุฒิสมาชิกแกรี่ ปีเตอร์ส (Gary Peters) กล่าวว่า Facebook กำลังสูญเสียความไว้วางใจจากชาวอเมริกันจำนวนมากอันเป็นผลมาจากเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับข้อมูล Facebook – Cambridge Analytica “ผมได้ยินมาว่าคนส่วนใหญ่กลัวว่า Facebook กำลัง “ฟัง” การสนทนาส่วนตัวของพวกเขาจากอุปกรณ์มือถือเพื่อจุดประสงค์ในการกำหนดเป้าหมายโฆษณา มีบางอย่างที่ผมได้รับฟังมากมายจากคนที่เข้ามาหาผม เช่น ลูกชายนักธุรกิจคนหนึ่งพูดถึงตู้เสื้อผ้าของเขา จากนั้นพวกเขาก็เห็นโฆษณาเสื้อผ้าปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วบน Facebook ของเขา เห็นได้ชัดว่ามีคนฟังเสียงในโทรศัพท์ของเรา” วุฒิสมาชิกแกรี่กล่าว ผมสงสัยว่า Facebook (และที่เกี่ยวข้องเช่นแอปพลิเคชัน Instagram) จะแอบบันทึกเสียงผ่านไมโครโฟนโทรศัพท์เพื่อที่จะกำหนดเป้าหมายโฆษณาที่ดีขึ้น วุฒิสมาชิกแกรี่ได้ถามมาร์คว่า Facebook กำลังฟังการสนทนาส่วนตัวของผู้ใช้ผ่านไมโครโฟนโทรศัพท์มือถือหรือไม่

มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์กปฏิเสธว่า ไม่มีการรวบรวมข้อมูลเสียงประเภทนี้ มาร์คเรียกแนวคิดที่ว่า Facebook กำลังฟังการสนทนาทางโทรศัพท์ผ่านไมโครโฟนว่าเป็น “ทฤษฎีสมคบคิด” เขายืนยันว่า “Facebook ไม่ได้มีส่วนร่วมในการปฏิบัติเหล่านี้ Facebook จะไม่ใช้แพลตฟอร์มเพื่อรวบรวมข้อมูลเสียงจากไมโครโฟนหรือภาพจากกล้องถ่ายรูปในมือถือโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ใช้”  เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า “Facebook ไม่รับฟังการสนทนาทางมือถือของผู้ใช้ แต่ Facebook สามารถเข้าถึงเสียงได้เมื่อผู้ใช้บันทึกวิดีโอบนอุปกรณ์ของพวกเขาเท่านั้น และใช้สิ่งนั้นเพื่อทำให้บริการดีขึ้น”

 

 

Tove Lo – Glad He’s Gone (YouTube)

 

 

ปัญหาบัญชีปลอม

thegeekherald.com

วุฒิสมาชิกคริส คูนส์ (Sen. Chris Coons) กล่าวกับกับมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์กว่า รูปถ่ายของเขาและรูปถ่ายของครอบครัวของสมาชิกวุฒิสภาคนอื่นถูกนำไปใช้ในโปรไฟล์ Facebook ปลอม “ทำไมไม่เป็นหน้าที่ของ Facebook ในการปกป้องผู้ใช้ให้ดีขึ้น และเหตุใดคุณจึงผลักภาระให้ผู้ใช้เป็นฝ่ายตั้งค่าสถานะเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมและตรวจสอบให้แน่ใจว่าเนื้อหานั้นถูกลบออกไป” 

มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก กล่าวว่า Facebook ต้องทำงานให้ดีขึ้นด้วยการบังคับใช้นโยบายเนื้อหา เขาเสริมว่า Facebook เริ่มต้นในห้องหอพักของเขาที่มหาวิทยาลัย Harvard ของเขา โดยไม่มีทรัพยากรหรือเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อให้สามารถระบุการรุกรานประเภทนี้ในเชิงรุกได้ และยอมรับว่าเป็นเรื่องยากที่จะส่งมอบ “ปริมาณเนื้อหาที่แท้จริง” บนแพลตฟอร์ม มาร์คเสริมว่าในอนาคตเทคโนโลยี AI จะรับผิดชอบในการตั้งค่าสถานะและจัดการกับเนื้อหาที่เป็นปัญหา

“ภายในสิ้นปีนี้เราจะมีพนักงานมากกว่า 20,000 คนในบริษัทที่ทำงานด้านความปลอดภัยและการตรวจสอบเนื้อหาเพราะนี่เป็นเรื่องสำคัญ” มาร์คกล่าว

เขาอธิบายวิธีการที่มีเนื้อหาที่ถูกตั้งค่าสถานะโดยเครื่องมือ AI ที่พัฒนาขึ้น เช่นสิ่งที่พัฒนาขึ้นเพื่อต่อต้านการก่อการร้าย

“เราสามารถลบเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับ ISIS และ Al-Qaeda ได้ถึง 99 เปอร์เซ็นต์ก่อนที่คนๆหนึ่งจะตั้งค่าสถานะ” เขากล่าว “อีก 5 หรือ 10 ปี Facebook จะมีเทคโนโลยี AI ที่สามารถทำสิ่งนั้นได้ในหลายๆ ด้านมากขึ้นและผมคิดว่าเราต้องไปถึงที่นั่นโดยเร็วที่สุด ซึ่งเป็นเหตุผลที่เราลงทุนในเทคโนโลยี AI

วุฒิสมาชิกคริส คูนส์ เห็นด้วย แต่ “ผมคิดว่าเราไม่สามารถรอ 5 ปีได้”

 

ปัญหาการกลั่นกรองเนื้อหาและคำพูดแสดงความเกลียดชัง

technologyreview.com

ในคำให้การต่อหน้ารัฐสภาสหรัฐฯ ในวันที่ 10 เมษายน 2018 มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) CEO ของ Facebook ได้ให้ไทม์ไลน์สำหรับ AI ในการตรวจจับคำพูดแสดงความเกลียดชังทางอินเทอร์เน็ต

มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก กล่าวว่า “เราได้เห็นแล้วว่าคำพูดแสดงความเกลียดชังและการละเมิดผู้อื่นทางออนไลน์มีผลอย่างไรบนโซเชียลมีเดีย มันไม่ใช่ปัญหาใหม่ Facebook มีเครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ที่ใช้ในปัจจุบันเพื่อตรวจจับคำพูดแสดงความเกลียดชัง ตลอดจนเนื้อหาที่ผิดกฎหมาย เช่น การแก้แค้น และภาพอนาจารของเด็ก นอกจากนี้ยังใช้เครื่องมือ AI เพื่อให้ความช่วยเหลือสำหรับผู้ใช้ที่ตรวจพบว่าอาจคิดฆ่าตัวตาย”

“อย่างไรก็ตามคำพูดแสดงความเกลียดชังบนโซเชียลมีเดียจะไม่หายไปในเร็วๆนี้ Facebook ใช้เทคโนโลยี AI เพื่อขจัดคำพูดแสดงความเกลียดชังได้ยากกว่าเมื่อเทียบกับเนื้อหาอื่น ๆ บนแพลตฟอร์ม เช่น การโฆษณาชวนเชื่อของผู้ก่อการร้าย AI ไม่สามารถทำอะไรได้มากเกี่ยวกับคำพูดแสดงความเกลียดชัง เนื่องจากข้อจำกัดของปัญญาประดิษฐ์ “

มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก ได้กล่าวถึงปัญหาของการใช้ปัญญาประดิษฐ์หรือ AI เพื่อระบุคำพูดแสดงความเกลียดชังทางออนไลน์ว่า “คำพูดแสดงความเกลียดชังเป็นสิ่งที่ยากที่สุด เพราะการพิจารณาว่าคำพูดไหนแสดงความเกลียดชัง คุณต้องเข้าใจว่าอะไรคือคำพูดหยาบคาย และสิ่งที่แสดงความเกลียดชังไม่ใช่แค่ในภาษาอังกฤษ แต่คนส่วนใหญ่บน Facebook ใช้คำพูดแสดงความเกลียดชังในภาษาที่แตกต่างกันมากมายทั่วโลก” 

มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก ตั้งข้อสังเกตว่า “คำพูดแสดงความเกลียดชังอาจขึ้นอยู่กับบริบทของคำที่แสดงความเกลียดชัง คำศัพท์บางคำที่พบในคำพูดแสดงความเกลียดชังเป็นคำแสลง ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของภาษาทั่วไปที่ใช้กัน มาร์คกล่าวถึงหน้าที่ของ AI ที่จำเป็นจะต้องทำความเข้าใจภาษาของมนุษย์ เรียนรู้ถึงความแตกต่างระหว่างการพูดคุยที่เป็นมิตรที่เราทำกับเพื่อนร่วมงาน กับความคิดเห็นที่เลวร้ายและสร้างความเสื่อมเสียซึ่งหมายถึงการล่วงละเมิดผู้อื่น และทำให้พวกเขารู้สึกแย่มาก”

มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก กล่าวว่า “ตอนนี้บริษัทกำลังพัฒนาเครื่องมือ AI เขามองโลกในแง่ดีว่า ในอีก 5 ถึง 10 ปี เราจะมีเครื่องมือ AI ที่สามารถเข้าถึงความแตกต่างทางภาษาของเนื้อหาประเภทต่างๆ เพื่อให้แม่นยำยิ่งขึ้นในการตั้งค่าสถานะเนื้อหาต่างๆ และลบคำพูดแสดงความเกลียดชังออกจากแพลตฟอร์มก่อนที่จะถูกโพสต์ แต่วันนี้เรายังไม่ไปถึงจุดนั้น จนกว่าเราจะทำให้มันเป็นแบบอัตโนมัติ”

นอกจากนี้มาร์ค ซักเคอร์เบิร์กถูกวุฒิสมาชิกกดดันเกี่ยวกับการเผยแพร่ข้อมูลที่ผิดและคำพูดแสดงความเกลียดชังบน Facebook ในเมียนมาร์ ซึ่งกระตุ้นให้เกิดความรุนแรงเพิ่มเติมต่อชนกลุ่มน้อยโรฮิงญาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มาร์คกล่าวว่า บริษัทกำลังจ้างผู้พูดภาษาพม่ามากขึ้นเพื่อตั้งค่าสถานะเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม และ Facebook กำลังจ้างผู้ดูแลเนื้อหาที่เป็นมนุษย์มากขึ้น Facebook มีความมุ่งมั่นที่จะเพิ่มจำนวนพนักงาน ภายในสิ้นปี 2018 บริษัทจะมีพนักงาน 20,000 คนที่ทุ่มเทให้กับการรักษาความปลอดภัยและการตรวจสอบเนื้อหา

 

ปัญหาการแทรกแซงของรัสเซียในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ

voanews.com

มีการกล่าวหาว่ารัสเซียมีส่วนช่วยให้นายโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2016 โดยหน่วยงานข่าวกรองของรัสเซียใช้ Facebook และแพลตฟอร์มออนไลน์อื่นๆ ในการเผยแพร่เนื้อหาที่สร้างความแตกแยก มีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มโอกาสในการเลือกตั้งของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

ในเดือนตุลาคม 2017 ตัวแทนจาก Facebook, Twitter และ Google ให้การเป็นพยานต่อหน้าสภาคองเกรส ในการสอบสวนการแทรกแซงของรัสเซียในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2016 ตัวแทนของ Facebook ยอมรับว่าเครือข่ายโซเชียลล้มเหลวในการป้องกันการแพร่กระจายของข้อมูลที่บิดเบือน โฆษณาทางการเมืองที่ซื้อในเว็บไซต์ของตน ในระหว่างการแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯปี 2016 เขากล่าวว่าเนื้อหาที่รัสเซียสนับสนุนทรัมป์เข้าถึงชาวอเมริกันมากถึง 126 ล้านคนผ่านโพสต์บนเครือข่ายสังคมออนไลน์ระหว่างและหลังการลงคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2016 เชื่อว่ามีเพจปลอมที่สนับสนุนโดยรัสเซีย 120 เพจซึ่งสร้างโพสต์ 80,000 โพสต์ในช่วงเวลาของการหาเสียงระหว่างทรัมป์และอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศฮิลลารีคลินตัน

ในปี 2017 มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) CEO ของ Facebook บอกกับ BBC ในการให้สัมภาษณ์ว่า เครือข่ายโซเชียลเตรียมพร้อมที่จะตอบโต้แคมเปญข้อมูลที่ผิดทางออนไลน์ แต่ยอมรับว่า Facebook “อยู่เบื้องหลัง” ในระหว่างการเลือกตั้งปี 2016 ซึ่งโดนัลด์ ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดี มาร์คยอมรับว่า Facebook ช้าเกินไปที่จะสังเกตเห็นและตอบสนองต่อการแทรกแซงของรัสเซีย เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งใน “ความเสียใจอย่างที่สุด” ของเขา

ในครั้งนี้เมื่อถูกถามเกี่ยวกับความอ่อนแอของ Facebook ต่ออำนาจต่างประเทศที่จะใช้บริการเพื่อแทรกแซงการเลือกตั้งในอเมริกา มาร์ค ซักเคอร์เบิร์กพูดถึงการต่อสู้อย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันการใช้แพลตฟอร์ม Facebook ของรัสเซียเพื่อมีอิทธิพลต่อการเลือกตั้งในสหรัฐฯและที่อื่นๆ “มีคนในรัสเซียซึ่งมีหน้าที่พยายามใช้ประโยชน์จากระบบของเราและระบบอินเทอร์เน็ตอื่นๆ” มาร์คกล่าว “นี้เป็นการแข่งขันทางอาวุธกับรัสเซีย พวกเขาจะพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ เพื่อต่อต้านการบิดเบือนข้อมูลของรัสเซียเราจำเป็นต้องลงทุนเพื่อพัฒนาสิ่งนี้ให้ดีขึ้นด้วยปัญญาประดิษฐ์หรือ AI เป็นวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด Facebook กำลังพัฒนาเครื่องมือ AI เพื่อลบบัญชีปลอมและจะจ้างผู้คนมากขึ้นเพื่อทำงานด้านความปลอดภัยและการตรวจสอบเนื้อหา” ซีอีโอของ Facebook กล่าวว่า ภายในสิ้นปี 2018 บริษัท จะมีพนักงาน 20,000 คนที่ทุ่มเทให้กับการรักษาความปลอดภัยและการตรวจสอบเนื้อหา

มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก กล่าวว่า ขณะนี้พนักงานของ Facebook ให้ความร่วมมือกับนายโรเบิร์ต มุลเลอร์ (Robert Mueller) ที่ปรึกษาพิเศษของกระทรวงยุติธรรมในการสอบสวนเรื่องการแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2016 ของรัสเซีย อย่างไรก็ตามมาร์คกล่าวว่าเขาไม่ได้ถูกสอบสวนเป็นการส่วนตัว มาร์คกล่าว “ผมต้องระวังตรงนี้ เพราะการทำงานของเรากับที่ปรึกษาพิเศษเป็นความลับ และผมจะไม่เปิดเผยสิ่งที่เป็นความลับ”

 

ปัญหาการโฆษณาชวนเชื่อของผู้ก่อการร้าย

สมาชิกสภาคองเกรสซูซาน บรูคส์ ได้ตั้งคำถามกับมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก เกี่ยวกับ ISIS และองค์กรก่อการร้ายอื่น ๆ ที่ใช้ Facebook เพื่อจุดประสงค์ในการรับสมัครบุคคลเข้าร่วมกลุ่มก่อการร้าย และเพื่อทำให้เกิดความรุนแรง เธอตั้งคำถามกับซีอีโอของ Facebook ถึงบทบาทของ Facebook ในการต่อสู้กับการก่อการร้าย

มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก กล่าวว่า บริษัทมีทีมต่อต้านการก่อการร้าย ผู้ตรวจสอบเนื้อหา 200 คน เรามีขีดความสามารถใน 30 ภาษาที่เรากำลังดำเนินการอยู่เพื่อจัดการกับเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม  พวกเขายังใช้ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เพื่อค้นหาเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายและพยายามกำจัดให้เร็วที่สุด

ในระหว่างการพิจารณาคดี สมาชิกรัฐสภาได้แจ้งให้ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ทราบว่ายังมีวิดีโอการสังหารหมู่ เช่น การยิงมัสยิดในเมืองไครสต์เชิร์ชให้ดูผ่าน Facebook มาร์คยอมรับว่า บริษัท “พยายามอย่างเต็มที่” เพื่อพยายามลบวิดีโอดังกล่าว ซูซาน บรูคส์ ถามต่อไปว่า Facebook ระบุและลบเพจและวิดีโอที่เกี่ยวข้องกับผู้ก่อการร้ายได้อย่างไร ผู้คนสามารถรายงานโพสต์ดังกล่าวไปยัง Facebook ได้อย่างไร และถามว่า ถ้าไม่มีใครรายงานมัน Facebook จะทำอย่างไร

มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก กล่าวว่า เมื่อไม่นานมานี้ Facebook ได้พัฒนาเครื่องมือ AI ที่ระบุเนื้อหาดังกล่าว และประสบความสำเร็จในการลบ 99 เปอร์เซ็นต์ของเนื้อหา ISIS และ Al-Qaeda ได้ทันทีที่มีการโพสต์” นั่นคือตัวอย่างของการลบเนื้อหาที่เป็นอันตรายที่เราภาคภูมิใจ และเป็นต้นแบบสำหรับเนื้อหาที่เป็นอันตรายประเภทอื่น ๆ ด้วย” มาร์ค กล่าว

ซูซาน บรูคส์ สนับสนุนให้ Facebook ตรวจสอบเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่องค์กรก่อการร้ายใช้กลไกการสื่อสารเช่น Facebook Messenger หรือ What’s App เพื่อส่งเสริมการโฆษณาชวนเชื่อและการสรรหาสมาชิกของผู้ก่อการร้าย

 

 

Falling In Reverse – “Popular Monster” (YouTube)

 

 

AI จะแก้ปัญหาทั้งหมดของ Facebook 

notebookspec.com

ตลอดระยะเวลา 10 ชั่วโมงในการพิจารณาคดีสองวัน มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) CEO ของ Facebook บอกกับสภาคองเกรสครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกครั้งที่นักการเมืองถามว่า Facebook วางแผนที่จะลบเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมออกจากเว็บไซต์อย่างไร หรือหยุดยั้งผู้ไม่หวังดีไม่ให้สร้างบัญชีปลอม มาร์คเล่าถึงพลังของปัญญาประดิษฐ์หรือ AI (Artificial intelligence) มากกว่า 30 ครั้งในการแก้ปัญหาต่างๆ ที่ Facebook เผชิญ

การกลั่นกรองคำพูดแสดงความเกลียดชัง? AI จะแก้ไข. โฆษณาชวนเชื่อของผู้ก่อการร้าย? AI again. บัญชีปลอม? AI again. การแทรกแซงการเลือกตั้งของรัสเซีย? AI again. โฆษณาเหยียดเชื้อชาติ? AI again. ความปลอดภัย? AI again.

มาร์ค ซักเคอร์เบิร์กกล่าวว่า Facebook  มี “เครื่องมือ AI” สำหรับทุกสิ่ง เขาชี้ให้เห็นว่า “Facebook ประสบความสำเร็จอย่างมากในการนำ AI มาใช้เพื่อต่อต้านการโฆษณาชวนเชื่อของผู้ก่อการร้าย ระบบ AI ของเราจะตั้งค่าสถานะก่อนที่มนุษย์จะเห็น โดยมีผู้ดูแลเนื้อหาที่เป็นมนุษย์หลายพันคน” แม้ว่า Zuckerberg จะกล่าวถึงการจ้างผู้ตรวจสอบเนื้อหาอีกหลายพันคนในระยะสั้น แต่ก็มีความไม่แน่นอนว่าการตรวจสอบโดยมนุษย์จะดำเนินต่อไปในระยะยาวหรือไม่ และ Facebook กำลังสร้างเครื่องมือ AI เพิ่มเติมเพื่อหยุดสิ่งเหล่านั้น  

ปัญหาในตอนนี้คือ เครื่องมือ AI เหล่านี้ยังไม่สมบูรณ์แบบ ในปัจจุบัน Facebook ใช้ AI ในรูปแบบที่เรียบง่ายแต่สำคัญ เช่น ใช้ในการจดจำใบหน้าของผู้คนเพื่อแท็กรูปภาพ ใช้ในการตัดสินใจตำแหน่งของโฆษณา หรือโพสต์ News Feed เพื่อเพิ่มจำนวนคลิกและความสนใจของผู้ใช้ บริษัทกำลังขยายการใช้งาน AI เช่น การสแกนโพสต์ และแนะนำแหล่งข้อมูลเมื่อ AI ประเมินว่าผู้ใช้กำลังขู่ฆ่าตัวตาย

มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก กล่าวว่าสักวันหนึ่ง AI จะมีฉลาด มีความซับซ้อนมากพอที่จะต่อสู้กับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมที่ทำลายแพลตฟอร์ม รวมถึงข่าวปลอม คำพูดแสดงความเกลียดชัง โฆษณาที่เลือกปฏิบัติ และโฆษณาชวนเชื่อของผู้ก่อการร้าย ระบบ AI อัตโนมัติที่ทันสมัยที่สุดของ Facebook ในขณะนี้ยังห่างไกลจากความสามารถในการทำงานของผู้ดูแลที่เป็นมนุษย์  นอกเหนือจากความไม่สมบูรณ์ของเครื่องมือ AI แล้วระบบ AI ที่มีประสิทธิภาพจะต้องปรับให้เข้ากับคำแสลงทางภาษาในระดับภูมิภาค และบรรทัดฐานทางวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ตลอดจนกฎระเบียบในท้องถิ่น ในคำให้การของเขา มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ยอมรับว่า Facebook ยังคงต้องจ้างผู้พูดภาษาพม่าเพิ่มขึ้นเพื่อกลั่นกรองประเภทของคำพูดแสดงความเกลียดชังที่อาจมีส่วนในการส่งเสริมการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในพม่า “คำพูดแสดงความเกลียดชังเป็นภาษาเฉพาะมาก” มาร์คยอมรับ “เป็นการยากในการกลั่นกรอง หากไม่มีทีมงาน Facebook ที่รู้ภาษาท้องถิ่น”

มาร์ก ซักเคอร์เบิร์กกล่าวว่าเขามองโลกในแง่ดีว่า ภายในห้าถึง 10 ปี AI ของ Facebook จะสามารถเข้าใจ “ความแตกต่างทางภาษา” ของเนื้อหาด้วยความแม่นยำเพียงพอที่จะระบุความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ กรณีที่มีข้อจำกัดสำหรับ AI เช่น วิดีโอที่มีความรุนแรง คำพูดแสดงความเกลียดชังและเนื้อหาที่เป็นอันตราย กรณีที่จำกัดเหล่านี้ Facebook มีผู้ดูแลที่เป็นมนุษย์เพื่อทำการกลั่นกรอง แผนของ Facebook คือ “เพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่ดูแลเนื้อหา โดยตั้งเป้าที่จะมีคนมากกว่า 20,000 คนที่ทำงานด้านความปลอดภัยและการตรวจสอบเนื้อหาภายในสิ้นปี 2018 นี้

 

 

Luke Bryan – Play It Again (YouTube)

AI Again เหรอ งั้นมาเจอ Play It Again ของคุณพี่สุดหล่อ Luke Bryan