Newsletter subscribe

Science, Stephen Hawking

คำเตือนของสตีเฟน ฮอว์คิง#4 จุดจบของมนุษย์บนโลกใกล้มาถึง ให้รีบเตรียมอพยพไปดาวเคราะห์ดวงอื่น

Posted: 06/04/2020 at 17:42   /   by   /   comments (0)

ศาสตราจารย์ สตีเฟน ฮอว์คิง (Stephen Hawking) นักฟิสิกส์เชิงทฤษฎีประจำมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ถึงแม้นเสียชีวิตไปแล้วเมื่อเดือนมีนาคม ปี 2019 ในวัย 76 ปี แต่เขาได้ทิ้งผลงานที่เป็นประโยชน์ต่อวงการวิทยาศาสตร์ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาไว้มากมาย ผลงานที่โดดเด่นได้แก่ หนังสือ “ประวัติย่อของกาลเวลา (A Brief History of Time)” ซึ่งเป็นหนังสือที่ขายดีที่สุดเล่มหนึ่ง ทำยอดขายมากกว่า 25 ล้านเล่มตั้งแต่ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1988 และถูกแปลไปมากกว่า 40 ภาษา หนังสือเล่มนี้มีความสำคัญมากต่อการศึกษาด้านดาราศาสตร์และฟิสิกส์สมัยใหม่ โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับโครงสร้าง กำเนิด วิวัฒนาการ และชะตากรรมสุดท้ายของจักรวาล เขาเขียนอธิบายปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ที่สำคัญ ได้แก่ บิกแบง (Big Bang) และหลุมดำ (black holes) เขากล่าวถึงทฤษฎีที่สำคัญสองทฤษฎี คือ ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอน์สไตน์ (Einstein’s Theory of General Relativity) และกลศาสตร์ควอนตัม (Quantum mechanics) เขาได้นำสองทฤษฎีนี้มารวมกันเพื่ออธิบายทุกอย่างในจักรวาลในลักษณะที่สอดคล้องกัน

นอกเหนือจากความรู้ความเข้าใจในเรื่องของจักรวาลที่ สตีเฟน ฮอว์คิง มอบให้แก่คนรุ่นหลัง ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขายังแสดงให้เห็นถึงจิตใจอันแข็งแกร่ง เขาต้องต่อสู้กับโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงมาค่อนชีวิต ความไม่ยอมพ่ายแพ้ต่ออุปสรรคทางร่างกาย ทำให้เขาสามารถมีชีวิตต่อไปถึง 55 ปี ไม่ใช่เพียง 2 ปีครึ่งที่แพทย์วินิจฉัยเมื่อครั้งเริ่มเป็นโรคร้าย

ในช่วงก่อนเสียชีวิต สตีเฟน ฮอว์คิง ละสายตาจากจักรวาลอันไกลโพ้นมาโฟกัสที่อนาคตของมวลมนุษยชาติ โลกกำลังตกอยู่ภายใต้ภัยอันตรายคุกคามจนยากที่เขาจะคิดในเชิงบวกได้ เขาได้ย้ำเตือนถึงภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นต่อมนุษยชาติหลายต่อหลายครั้ง โดยมีสาเหตุจาก สงครามนิวเคลียร์ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การพุ่งชนของดาวเคราะห์น้อย และแม้นแต่การลุกขึ้นก่อจลาจลของหุ่นยนต์

 

 

ILLENIUM, Jon Bellion – Good Things Fall Apart

 

 

www.express.co.uk

สตีเฟน ฮอว์คิง (Stephen Hawking) มีความกังวลเกี่ยวกับอันตรายจากการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence; AI) ในระดับสูง ทำนองเดียวกับผู้นำด้านเทคโนโลยีอย่าง อีลอน มัสก์ (Elon Musk) และบิล เกตส์ (Bill Gates)

สตีเฟน ฮอว์คิง กล่าวว่าการวิจัยทางด้าน AI กำลังก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ความสำเร็จในการสร้าง AI อาจเป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อารยธรรมของเรา แต่หากเราไม่เรียนรู้วิธีรับมือและหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น AI ก็อาจกลายเป็นเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในอารยธรรมของเราได้เช่นกัน  นอกเหนือจากประโยชน์ที่ได้จากการใช้งาน AI ในทางกลับกันมันสามารถนำอันตรายมาให้ด้วย ยกตัวอย่างเช่น การพัฒนาอาวุธอัตโนมัติที่ทรงพลัง หรือการพัฒนาเทคโนโลยีอัจฉริยะในอุตสาหกรรมผลิตอาวุธ รัฐบาลดูเหมือนจะทุ่มเทงบประมาณไปกับการแข่งขันพัฒนาอาวุธที่ใช้เทคโนโลยี AI มากกว่าโครงการที่เป็นประโยชน์โดยตรงกับเผ่าพันธุ์มนุษย์เช่น การนำ AI มาใช้ในทางการแพทย์ 

 

phys.org

ดาวเคราะห์น้อย (Asteroids) เป็นวัตถุหินขนาดเล็กในระบบสุริยะชั้นในที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ มีดาวเคราะห์น้อย 16,000 ดวงที่ถูกจัดเป็นวัตถุใกล้โลก (Near-Earth Objects ; NEOs) ซึ่งกำลังถูกติดตามอย่างระมัดระวังโดยนักดาราศาสตร์และองค์การนาซ่า เนื่องจากดาวเคราะห์น้อยเหล่านี้อาจเป็นภัยคุกคามต่อชีวิตบนโลก 

สตีเฟน ฮงค์คิง ได้ประกาศความกลัวต่ออนาคตของมนุษยชาติมาตั้งแต่ปี 2010 ในซีรีส์ “ Into the Universe with Stephen Hawking” ในช่อง Discovery  ว่า “เมื่อมองถึงอนาคต ปรากฎว่าจักรวาลเป็นสถานที่ที่ค่อนข้างอันตราย มีปรากฏการณ์ของความรุนแรงอยู่ทั่วจักรวาล ได้แก่ ดาวที่ล้อมรอบดาวเคราะห์ ซูเปอร์โนวาที่ยิงรังสีสังหารไปทั่วอวกาศ การชนกันของหลุมดำ และดาวเคราะห์น้อยที่พุ่งไปรอบๆ ด้วยความเร็วหลายร้อยไมล์ต่อวินาที และการพุ่งชนโลกของดาวเคราะห์น้อยเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถป้องกันได้ นี้ไม่ได้เป็นนิยายวิทยาศาสตร์ มันรับประกันโดยกฎของฟิสิกส์และความน่าจะเป็น

 

metro.co.uk

ในวันเกิดครบรอบ 75 ปีของสตีเฟน ฮอว์คิง เขากล่าวว่า เราอยู่ใกล้กับจุดเปลี่ยนที่ทำให้เกิดสภาวะโลกร้อน (Global warming) อย่างถาวรจนไม่สามารถแก้ไขให้กลับคืนดังเดิมได้ การที่ประธานาธิบดีทรัมป์เพิกเฉยต่อปัญหาสภาวะโลกร้อนและถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ 2015 จะทำให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นการผลักดันให้โลกกลายเป็นเหมือนดาวศุกร์ ด้วยอุณหภูมิ 250 องศาเซลเซียสและฝนกรดซัลฟุริก การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate change) เป็นหนึ่งในอันตรายที่ยิ่งใหญ่ที่เรากำลังเผชิญ แต่มันเป็นสิ่งที่เราสามารถป้องกันได้หากเรารีบดำเนินการตอนนี้ 

 

haikudeck.com

ผู้เชี่ยวชาญหลายคนชี้ว่าการมีประชากรมากเกินไป (Overpopulation) เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาระดับโลก เช่นเดียวกับ สตีเฟน ฮอว์คิง ในการพูดที่ประชุม Tencent WE Summit 2017 เขากล่าวว่าในช่วง 200 ปีที่ผ่านมาจำนวนประชากรของโลกของเราเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณในอัตรา 1.9% ต่อปี หากอัตรานี้ยังคงดำเนินต่อไป ประชากรของโลกจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในทุกๆ 40 ปี  ในปี 2600 ประชากรจะล้นโลก การมีประชากรมากเกินไปจะนำไปสู่การใช้พลังงานไฟฟ้าในปริมาณที่สูงขึ้น จนในที่สุดจะทำให้โลกกลายเป็นดาวเคราะห์ร้อนสีแดง

 

 

Linkin Park – Leave Out All The Rest 

 

 

เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2016 ศาสตราจารย์สตีเฟน ฮอว์คิง กล่าวระหว่างบรรยายที่มหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ ผมไม่คิดว่ามนุษย์เราจะดำรงชีวิตอยู่รอดไปมากกว่า 1,000 ปีข้างหน้าบนโลกที่เปราะบางใบนี้ หากไม่ย้ายหนีไปอยู่บนดาวดวงอื่นในจักรวาล สำหรับสาเหตุสำคัญ 3 อย่างที่จะนำมาซึ่งการสูญพันธุ์ของเผ่าพันธุ์มนุษยชาติ ได้แก่ ภาวะโลกร้อน สงครามนิวเคลียร์ และปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นเรื่องยากมากที่มนุษย์จะรอดพ้นจากมหันตภัยร้ายแรงที่จะเกิดขึ้นบนโลกในอีกหลายร้อยปีข้างหน้า เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการสิ้นสุดเผ่าพันธุ์มนุษย์ เราควรเริ่มศึกษาหาความเป็นไปได้ในการไปตั้งอาณานิคมใหม่บนดาวดวงอื่นอย่างจริงจังได้แล้ว

ต่อมาเมื่อเดือนมิถุนายน 2017 สตีเฟน ฮอว์คิง ได้กล่าวเตือนเราอีกครั้งถึงเวลาของโลกที่กำลังจะหมดลงในสารคดี “Expedition New Earth” ของ BBC ครั้งนี้เขาได้ตัดเวลาจาก 1,000 ปีที่เขาเคยเตือนเมื่อปี 2016 เหลือเพียง 100 ปี! (พี่ท่านลดลงถึง 10 เท่าภายในเวลาไม่ถึง 1 ปี)  สตีเฟน ฮอว์คิง กล่าวว่าเรากำลังอยู่ในจุดที่อันตรายที่สุดในประวัติศาสตร์ เวลาของโลกกำลังหมดลงทุกที เนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (climate change) โรคระบาดที่เกิดจากไวรัสดัดแปลงพันธุกรรม (genetically-engineered viruses) การพุ่งโจมตีของดาวเคราะห์น้อย (asteroid strikes) และจำนวนประชากรที่กำลังล้นโลก (overpopulation) เรามีเวลาบนโลกนี้เพียง 100 ปี ทางรอดเดียวของมนุษยชาติคือการอพยพไปอยู่บนดาวดวงอื่น เป็นความจริงที่ว่าตอนนี้มนุษย์เรามีเทคโนโลยีที่จะทำลายโลกที่เราอาศัยอยู่ แต่เราไม่พัฒนาความสามารถในการหลบหนีไปจากโลก 

ในปีเดียวกันในงานเทศกาล Starmus Festival ซึ่งเป็นการฉลองวิทยาศาสตร์และศิลปะซึ่งจัดขึ้นที่ เมืองทรอนด์เฮม ประเทศนอร์เวย์ สตีเฟน ฮอว์คิง ได้กล่าวว่า การกระจายตัวไปในอวกาศเพื่อการแสวงหาบ้านใหม่ จะเป็นการเปลี่ยนแปลงอนาคตของมนุษยชาติอย่างสมบูรณ์แบบ เขาหวังว่าจะเกิดความร่วมมือกันของประเทศคู่แข่งเพื่อเป้าหมายเดียวกัน โครงการอวกาศใหม่ๆที่มีความทะเยอทะยานจะกระตุ้นคนหนุ่มสาวให้มีความสนใจในด้านฟิสิกส์ดาราศาสตร์และจักรวาลวิทยามากขึ้น

ศาสตราจารย์สตีเฟน ฮอว์คิง ยังได้กล่าวถึงข้อกังวลของผู้ที่โต้แย้งว่า จะเป็นการดีกว่าถ้าเราใช้เงินของเราไปกับการแก้ปัญหาของโลกใบนี้ เขากล่าวว่า “ผมไม่ได้ปฏิเสธความสำคัญของการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสภาวะโลกร้อน ซึ่งแตกต่างจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ปฏิเสธความเชื่อในเรื่องสภาวะโลกร้อนและได้ทำการตัดสินใจที่ผิดและร้ายแรงที่สุด” สตีเฟน ฮอว์คิง อธิบายว่า การเดินทางออกสู่อวกาศเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับอนาคตของมนุษยชาติ เนื่องจากโลกถูกคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงการลดลงของทรัพยากรธรรมชาติ “พื้นที่บนโลกใบนี้สำหรับมนุษย์กำลังหมดลง มันถึงเวลาแล้วที่จะสำรวจระบบสุริยะอื่นๆ การกระจายตัวไปในอวกาศอาจเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยเราให้รอดจากการสิ้นสุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ตัวผมเองเชื่อว่าเราต้องออกจากโลกเพื่อการอยู่รอดของเผ่าพันธุ์มนุษย์

 

space.com

สตีเฟน ฮอว์คิง ให้คำแนะนำว่า ดวงจันทร์และดาวอังคารจะเป็นที่ที่ดีที่สุดสำหรับการเริ่มต้นสร้างอาณานิคม เขาคาดการณ์ว่ามนุษย์จะสามารถสร้างฐานบนดวงจันทร์ภายใน 30 ปีข้างหน้า และ 50 ปีข้างหน้าสำหรับการสร้างฐานบนดาวอังคาร เขายังแนะนำให้ออกไปสำรวจดาวดวงอื่นที่อยู่นอกระบบสุริยะ และไปยังระบบดาวที่ใกล้ที่สุดคือ ระบบดาว Alpha Centauri ที่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามีดาวเคราะห์ที่เอื้อต่อการอยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิต (habitable planet) ซึ่งรู้จักกันในชื่อ Proxima B  โดยสตีเฟน ฮอว์คิง คาดหวังว่ายานอวกาศที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานนิวเคลียร์ฟิวชั่น (nuclear fusion-powered spaceships) จะทำให้เราสามารถเดินทางด้วยความเร็วผ่านปีแสง ซึ่งจะนำเราไปสู่บ้านใหม่สำหรับการตั้งถิ่นฐาน

สตีเฟน ฮอว์คิงไม่ได้เป็นคนเดียวที่สนับสนุนการตั้งอาณานิคมบนดาวเคราะห์ดวงอื่น อีลอน มัสก์ (Elon Musk) ผู้ก่อตั้งบริษัท SpaceX ก็คิดเช่นเดียวกับสตีเฟน ฮอว์คิง เขามีแผนการที่จะนำมนุษย์ไปดาวอังคารในปี 2025 และวางแผนจัดตั้งอาณานิคมบนดวงอังคารในปี 2033 องค์การนาซ่าและประเทศจีนก็กำลังมีความพยายามที่จะส่งนักบินอวกาศไปยังดาวอังคาร

คำเตือนของฮอว์กิงทำให้วงการวิทยาศาสตร์ตื่นตัวหลายเรื่อง ที่เห็นได้ชัดว่ามีความก้าวหน้าอย่างมากคือการค้นหา “ดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ (Exoplanets)” นักวิทยาศาสตร์ให้ความสนใจเป็นพิเศษกับดาวเคราะห์ที่โคจรอยู่ในพื้นที่เอื้อต่อการอยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิต “Habitable zone” กล่าวคือ เป็นพื้นที่ในอวกาศโดยรอบดาวฤกษ์ ที่ซึ่งบนพื้นผิวของดาวเคราะห์มีน้ำในสภาวะของเหลว อันเป็นกุญแจสำคัญต่อการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิต ถ้าใกล้กว่านี้ก็จะร้อนมากไป ห่างไปกว่านี้ก็จะหนาวเย็น สำหรับระบบสุริยะของเรา ดาวเคราะห์ที่อยู่ใน habitable zone คือ โลกและดาวอังคาร ซึ่งจากข้อมูลเดือนกุมภาพันธ์ 2019 มีการยืนยันการค้นพบ exoplanets รวมทั้งสิ้น 3,912 ดวง